<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

[รีวิว] Afin Keywallet การ์ดเก็บคริปโตแบบ Hardware ราคาย่อมเยาว์ที่ใช้ NFC เพื่อเชื่อมต่อกับมือถือ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Cold Wallet ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นักลงทุนคริปโตทุกคนควรมีไว้กับตัว ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว มักจะใช้ตัว Ledger กับ Trezor กัน แต่ราคาของพวกมันก็ค่อนข้างสูงและอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนักสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย ๆ ระหว่างวัน เนื่องจากต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการใช้งานตลอดเวลา

ล่าสุดได้มี บริษัท ASIAN FINTECH CO.,LTD ได้ทำการผลิตและจัดจำหน่าย Hardware Wallet ตัวใหม่ขึ้นมาซึ่งจะทำงานบนแอปฯ มือถือเป็นหลัก รวมทั้งยังใช้การ์ดที่พกพาง่ายในการทำการยืนยันแบบ NFC อีกด้วย ทำให้พกพาไปไหนมาไหน และทำธุรกรรมได้สะดวกกว่า Hardware Wallet อื่น ๆ

แกะกล่อง

แพคเกจด้านนอกจะเป็นซองกระดาษสีดำคล้าย ๆ จดหมายทั่วไป แต่มีขนาดเท่าบัตรเดบิต พร้อมข้อความระบุเกี่ยวกับคุณสมบัติต่าง ๆ ของ Wallet ด้านในจะมีกระดาษแข็งสำหรับจด Passphase สำหรับ Private Key ไว้ มีคำแนะนำวิธีการว่า ใช้งานอย่างไร ซึ่งสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของพวกเขา ด้านหลังกระดาษจะสามารถ Scan QR Code เพื่อดาวน์โหลดแอปฯ ได้เลย และมีข้อความคำเตือนเกี่ยวกับการรักษา Recover Sheet และบัตร Afin KeyWallet Touch

ดีไซน์

Afin KeyWallet Touch นั้นมีขนาดเท่ากับบัตรเครดิตหรือเดบิตทั่วไป ที่ทำจากพลาสติก และมีชิพ NFC (Near Field Communication) ไว้สำหรับใช้งานคู่กับมือถือ และด้านหลังบัตรมีช่องว่างไว้เหมือนบัตรเครดิตไว้สำหรับเขียนชื่อเจ้าของ

สีของบัตรนั้นเป็นสีดำ และมีการสลักลวดลายกราฟฟิคที่เป็นเหรียญคริปโตมาเชื่อมโยงกันหลาย ๆ เหรียญที่เป็นสีทอง ดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนกับบัตรเครดิต แต่หากลองมองดูอีกทีจะพบว่าไม่มีสัญลักษณ์ Visa หรือ Mastercard อยู่แต่อย่างใด ด้านหน้าบัตรจะมีชิพ NFC ฝังเอาไว้อยู่

เมื่อมันเป็นบัตรนั้น ส่งผลทำให้สามารถเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของคุณ รวมกับบัตรอื่น ๆ ได้ ซึ่งจะได้เปรียบในแง่ของความเบา สะดวกในการพกพา และความง่ายดาย หากเทียบกับ Hardware wallet ที่อยู่ในรูปแบบอื่น ๆ แต่ก็แลกมาด้วยการไม่มีฟีเจอร์แบบที่ Hardware wallet แบบอื่น ๆ มีเช่นกัน

เทคโนโลยี

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Hardware Wallet นี้ รองรับสกุลเงินหลัก ๆ ในตลาดและโทเคนที่ใช้มาตรฐาน ERC-20 ทั้งหมด ( ICO ส่วนใหญ่มักใช้มาตรฐานนี้)

Afin KeyWallet Touch ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยของ FIDO U2F ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์ระดับโลกที่คนส่วนใหญ่ไว้วางใจ มันเป็น Solution ด้านความปลอดภัยในการเก็บรหัสผ่าน เช่นเดียวกับ Trezor และ Ledger ที่เป็น Hardware Wallet ระดับโลกก็ใช้มาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ในแอปฯ ยังระบุด้วยว่า จะไม่ทำการเก็บข้อมูลหรือรหัสผ่านใด ๆ ของผู้ใช้เลย

การใช้งาน

สำหรับการใช้งาน Afin KeyWallet Touch ในปัจจุบันสามารถใช้งานกับมือถือที่มี Android 5.0 ขึ้นไปและโทรศัพท์ที่มี NFC เท่านั้น ผู้ใช้งานสามารถทำการดาวน์โหลดแอปฯ AFIN Touch จาก Play Store มาไว้บนมือถือ หรือเปิด NFC จากมือถือของคุณเพื่อ Scan บัตร มันจะ Link ไปที่หน้าดาวน์โหลดแอปฯ อัตโนมัติ จากนั้นก็ทำการเข้าแอปฯ และเลือกคำว่า Open Wallet จากนั้นก็ทำการใส่รหัสที่ตั้งไว้ และแตะชิพ NFC ของบัตรกับมือถือก็จะสามารถเข้าไปใช้งานได้เลย ไม่ต้องต่อสายอะไร

อ้างอิงจากทาง ASIAN FINTECH ปัจจุบันแอปฯ ดังกล่าวมีให้ดาวน์โหลดเพียงแค่บนแพลตฟอร์ม Android เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าในขณะนี้ผู้ที่ใช้โทรศัพท์ iPhone จะยังไม่สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ แต่ทาง ASIAN FINTECH ก็เผยกับทางสยามบล็อกเชนว่ายังมีแผนการพัฒนาแอปฯ ดังกล่าวบนแพลตฟอร์ม iOS ด้วย

เริ่มติดตั้ง

สำหรับผู้ใช้งานใหม่ที่ยังไม่มี Wallet ให้ทำการเลือก “Create a Wallet” จากนั้นแอปฯ ก็ทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ของแอปฯ ทั้งหมด 10 ขั้น ในการสร้าง Wallet ที่ปลอดภัยขึ้นมา

จุดที่น่าสังเกตคือ การใช้งานบัตร NFC ในการทาบกับโทรศัพท์ที่ทางผู้รีวิวพบว่าในช่วงแรกนั้นไม่สามารถทาบให้บัตรใช้งานได้ตามที่คู่มืออธิบายไว้ ซึ่งภายหลังค้นพบว่าเป็นเพราะโทรศัพท์ที่ผู้รีวิวใช้นั้น (Nexus 6P) มีการวางจุดเซนเซอร์รับสัญญาณ NFC ที่อยู่ด้านบนสุดของโทรศัพท์

เมื่อหาจุดเจอแล้ว หลังจากนั้นการสแกนบัตรเพื่อใช้งานกับแอปฯ บนโทรศัพท์นั้นจึงสามารถได้อย่างรวดเร็วตามปกติ ดังนั้นผู้ใช้งานควรที่จะทำให้แน่ใจก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ด้วยว่าโทรศัพท์ของท่านรองรับเทคโนโลยี NFC และตรวจสอบดูคู่มือว่าจุดรับสัญญาณ NFC ของโทรศัพท์อยู่ตรงส่วนไหนของเครื่อง

ทางเราจะไล่ลำดับในการติดตั้งและใช้งานดังนี้:

1.สแกนชิพ NFC ของบัตรเข้ากับมือถือ

2.จด Recovery Word ของ Wallet เรา (สำหรับการ Backup ในกรณีที่บัตรหาย หรือย้ายเครื่อง)

3.จด Passphrase (สำหรับการ Backup ในกรณีที่บัตรหาย หรือย้ายเครื่อง)

4.ทดสอบใส่ Recovery Word

5.ทดสอบใส่ Recovery Word

6.ทดสอบใส่ Recovery Word

7.ทดสอบใส่ Recovery Word

8.ทดสอบใส่ Passphrase

9.สร้าง PIN สำหรับแอปฯ (เอาไว้ใช้เป็นรหัสผ่านในการเข้าแอปฯ คล้าย ๆ PIN ของแอปฯ ของธนาคาร)

10.จากนั้นทำการสแกนชิพ NFC กับชิพของบัตรและมือถือของเราอีกครั้ง

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย เราก็จะได้ Cold Wallet เก็บกระเป๋าเหรียญคริปโตที่ผูกติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือ และมีบัตรที่ฝังชิพ NFC เป็นเสมือนกุญแจที่ใช้ในการเปิดกระเป๋า ซึ่งมันจะแตกต่างกับ Hardware Wallet ตัวอื่น ๆ ตรงที่จะดำเนินการหลาย ๆ อย่างในมือถือแทน PC

ทดสอบโอน Bitcoin เข้าออก

มาลองดูที่แอปฯ บนโทรศัพท์มือถือกันบ้าง อินเตอร์เฟสต่าง ๆ ในมือถือนั้นคล้ายกับ Wallet คริปโตในมือถือทั่วไป หากต้องการที่จะส่ง Bitcoin ไปให้คนอื่น ให้จิ้มไปตรงไอคอนรูปกระเป๋าเงิน (อันที่ 2 จากซ้ายมือ) จะมีคริปโตหลายสกุลที่กระเป๋ารองรับแสดงขึ้นมา

จากภาพด้านล่างนั้นจะสังเกตเห็นได้ว่ากระเป๋าดังกล่าวนั้นรองรับเหรียญคริปโตค่อนข้างที่จะมีอยู่หลายสกุลมาก ซึ่งหลัก ๆ นั้นจะประกอบไปด้วย BTC, BCH, LTC, BTG, BNB และอื่น ๆ (ลิสต์เหรียญที่รองรับทั้งหมดดูด้านล่าง)

ในที่นี่ผู้รีวิวจะทำการทดสอบรับและส่ง Bitcoin โดยขั้นแรกนั้นเราก็ทำการเลือก Bitcoin จะมีปุ่มให้เลือกว่า SEND (ส่ง) หรือ RECEIVE (รับ)

ขั้นตอนแรก ทางเราจะทำการรับ Bitcoin ก็ให้กดปุ่ม RECEIVE ซึ่งเมื่อกดแล้วกระเป๋าก็จะสร้าง QR และ address ของเหรียญนั้น ๆ ขึ้นมา เพื่อให้ผู้โอนนั้นสามารถโอนเข้ามาในกระเป๋าของเราได้

เมื่อทางผู้โอนได้โอนเข้ามาแล้วนั้น ก็จะปรากฎขึ้นมาดังภาพด้านล่าง ว่ามีธุรกรรมของเหรียญ Bitcoin ที่ถูกโอนเข้ามา โดยจะเขียนว่า Received พร้อมบอกจำนวน และ timestamp ของเวลาและวันที่โอนเข้ามา (ในรูปมีการโอน BTC เข้ามาแต่ Block ยัง Confirm  ยอดเลยยังไม่อัปเดต)

ภายหลังจากนั้น ทางผู้รีวิวจะทำการโอน Bitcoin กลับไปหาปลายทาง ในกรณีนี้ เราทำการส่งก็กด SEND จะมีให้ใส่ Address ของผู้รับ, จำนวน BTC ที่ต้องการส่งไป (เลือกส่งทั้งหมดได้) และค่าธรรมเนียมที่ต้องการจ่าย (ยิ่งเยอะยิ่งเร็ว) ซึ่งจะมีมูลค่าทั้งหมดคำนวณออกมาว่าเท่ากับกี่ดอลลาร์ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กดปุ่ม SEND ที่อยู่ด้านล่าง

จากนั้นจะมีรายละเอียดขึ้นมาให้ยืนยันว่า เราจะส่งไปไหน และจำนวนเท่าไรเพื่อความถูกต้อง

ยืนยันความเป็นเจ้าของอีกครั้งด้วยการใส่ PIN ที่ตั้งไว้และทำการสแกน NFC ก็เป็นอันเรียบร้อย จะมีข้อมูลแจ้งว่า เราได้ทำการส่งเรียบร้อย

แล้วเหรียญอื่น ๆ ล่ะ

Afin KeyWallet Touch นั้นรองรับคริปโตหลากหลายสกุลตามมาตรฐาน เช่น BTC, ETH, BCH, LTC, BTG, OMG และคริปโตที่ใช้มาตรฐาน ERC-20 ทั้งหมด ทำให้สามารถรับส่ง Altcoins ได้เช่นกัน

ถ้าต้องการส่งเหรียญอื่น ๆ ก็ทำตามขั้นตอนเดียวกับการส่ง Bitcoin คือเลือกเหรียญที่ต้องการส่ง, ใส่ Address, ใส่จำนวน, ค่าธรรมเนียม และกดส่งก็เป็นอันเรียบร้อย

ถ้าต้องการเก็บโทเคน ERC-20 ให้ทำการกดเพิ่มเหรียญ (รูปบวกด้านล่างขวา) ในหน้า Wallet และใส่รายละเอียดเช่นเดียวกับการเพิ่มโทเคนใน MetaMask

ข้อควรระวัง

ถึงแม้มันจะดูกระทัดรัดและมีข้อดีอยู่มากมาย แต่มันก็มีสิ่งที่ผู้ใช้งานควรระวังก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ อันดับแรก อย่างที่ทราบกันดีว่า Hardware Wallet นี้ใช้การทำงานของ NFC ทำให้มือถือที่จะใช้งานด้วยนั้นต้องมีชิพ NFC ก่อน ไม่งั้นจะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปฯ หรือทำการใช้งานใด ๆ ได้เลย ต้องตรวจสอบมือถือให้ดีซะก่อน และแอปฯ Afin Touch นั้นยังเปิดให้โหลดแค่ใน Play Store ยังไม่ถูกเพิ่มเข้าไปใน App Store กล่าวคือ ตอนนี้ดาวน์โหลดได้เฉพาะมือถือที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android เท่านั้น iOS ยังใช้ไม่ได้

สำหรับผู้ที่ใช้งานครั้งแรกอาจจะมีความสับสนนิดหน่อยกับการทำงานของมัน เพราะเวลาทำการสแกน NFC ต้องรู้จุด NFC ของมือถือเรา เนื่องจากไม่สามารถสแกนผ่าน ๆ ได้ ต้องนำชิพไปแช่ไว้หลายวินาที ถึงจะทำการยืนยันสำเร็จ

ในปัจจุบัน Afin KeyTouch Wallet ยังคงไม่สามารถเชื่อมกับ MetaMask ได้ต่างจาก Trezor และ Ledger ทำให้ผู้ใช้งานต้องโอนเหรียญแยกมาเก็บใน Wallet นี้อีกรอบ

นอกจากนี้ ในแอปฯ เองยังมีฟีเจอร์บางอย่างที่ พัฒนาไม่สำเร็จ เช่นตัว Exchange หรือเว็บเทรดที่จะทำการแปลงค่าเงินจากสกุลหนึ่งเป็นสกุลหนึ่งได้ทันที

ในส่วนที่ฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์, ยังไม่รองรับ MetaMask หรือเพิ่มเข้าไปใน App Store นั้น ผู้พัฒนาคาดว่า จะจัดการส่วนเหล่านั้นให้เสร็จภายใน 3 ถึง 4 เดือนข้างหน้า

ข้อดี

-พกพาสะดวก เนื่องจากรูปแบบการ์ด

-ราคาถูกกว่า Trezor, Ledger เกือบครึ่งนึง

-สะดวกในการทำธุรกรรมกว่า Trezor และ Ledger เนื่องจากใช้มือถือสแกน QR ได้เลย

ข้อเสีย

-ยังไม่รองรับ iOS

-ยังไม่รองรับ MetaMask

-ยังไม่รองรับเหรียญหลักอื่น ๆ เช่น XRP, TRX หรือ EOS

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญ Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น