นิตยสารชื่อก้องโลก Forbes ที่ชอบจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ได้ออกมารายงานว่าราคาของ Litecoin นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 200% ด้วยปัจจัยหลายปัจจัยด้วยกัน
โดยบทความดังกล่าวนั้นรายงานว่าเหรียญ Litecoin (LTC) หรือเหรียญเงินนั้นได้ทำราคาแตะจุดสูงสุดที่ 99 ดอลลาร์ในวันที่ 3 เมษายน ในขณะนั้น และได้เพิ่มขึ้นถึง 230% ตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน
LTC ทำราคาได้ดีกว่า BTC และ XRP
แม้ว่าราคาของ LTC นั้นจะลดลงมาปรับฐานในขณะนี้ ทำให้มันสูญเสียปริมาณของมูลค่าไปบางส่วน แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของราคานั้นก็เพิ่มขึ้นถึง 200% ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนสามารถเอาชนะเหรียญอันดับต้น ๆ ในปีนี้ได้ อย่างเช่น BTC, ETH, XRP และ BCH
นิตยสาร Forbes ได้กล่าวถึงรายงานของ SFOX ที่มีตัวแปรทั้งหมดห้าตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของเหรียญ Litecoin
การ halving ของ LTC ที่ใกล้เข้ามา
ในเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้ รางวัลที่ได้จากการขุดเหรียญ LTC ต่อบล็อกจะลดลงไป 50% ซึ่งนั่นหมายความว่าอัตราการเกิดใหม่ของเหรียญ LTC นั้นจะถูกลดลงจากระบบ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้ราคาของ LTC นั้นเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากอุปทานที่ลดลง
แพลทฟอร์มบางแพทฟอร์มอย่างเช่น Binance นั้นก็ใช้หลักการที่คล้าย ๆ กับการ halving เพียงแต่ว่าพวกเขาเลือกที่จะ ‘เผา’ เหรียญ BNB ของพวกเขาแทน
การปรับตัวใช้โดยร้านค้า
ตั้งแต่ตอนที่นาย Charlie Lee ได้เปิดตัว Litecoin ตั้งแต่ปี 2011 นั้น ปริมาณของร้านค้าที่รับเหรียญ LTC ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเหรียญดังกล่าวนั้นถูกตั้งเป้าหมายเพื่อให้เป็นเหรียญที่เอาไว้ใช้ส่งหากันเอง (P2P) นั่นหมายความว่าการที่มีผู้คนมาใช้เหรียญดังกล่าวมากขึ้นนั้น ย่อมผลักดันให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ทาง SFOX กล่าวว่าขณะนี้มี “ร้านค้านับหมื่นล้านทั่วโลก และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” ที่กำลังขายสินค้าและบริการของพวกเขาเพื่อแลกกับเหรียญ LTC
ปัจจัยอื่น ๆ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลทำให้ราคาของเหรียญ Litecoin เพิ่มมากขึ้นนั้นก็คือความรวดเร็วในการทำธุรกรรมของมัน โดยมันเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำกว่า 300 ธุรกรรมในปีนี้ แต่ทว่าในปัจจุบัน มันได้เติบโตขึ้นกว่า 1,300 ธุรกรรมแล้ว
ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Forbes ได้มีการกล่าวถึง Litecoin
ก่อนหน้านี้ทางนิตยสาร Forbes ได้มีการวิเคราะห์ว่าเหรียญ Litecoin จะสามารถโค่นเหรียญ XRP ได้ก่อนจบปี 2019 เนื่องจากว่าเหรียญ XRP นั้นยังไม่ดีพอ และมีข่าวเชิงลบอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น