นาย Brad Garlinghouse หรือ CEO ของ Ripple Labs ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างเหรียญ XRP ได้ออกมาแนะนำให้ผู้คนทำการกระจายความเสี่ยงลงไปในสินทรัพย์ตัวอื่นๆโดยเฉพาะคริปโตเคอเรนซี่พี่จะสามารถช่วยให้ผู้ถือนั้นเอาตัวรอดจากวิกฤตเงินเฟ้อทั่วโลกได้ โดยความเห็นดังกล่าวนั้นมีขึ้นเพื่อตอบโต้บทความของ Bloomberg ในหัวข้อที่ว่า “JPMorgan says Bitcoin just took its first test and got ‘mostly positive’ results.”
หวยเขาชี้ว่าตลาดทั่วโลกนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรงโดยมีปัจจัยหลายๆอย่างพี่เป็นตัวประกอบพร้อมทั้งเวลา ความเห็นของเขานั้นดูเหมือนว่าจะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นในด้านของเหรียญ XRP ของเขาเสียมากกว่าที่มีการควบคุมอัตราเงินเฟ้อน้อยกว่าเหรียญอื่นๆ
โดยอ้างอิงจากบทความของ Bloomberg นั้น ได้มีการกล่าวว่า bitcoin ได้ผ่านการทดสอบครั้งแรกไปแล้ว ซึ่งก็คือช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 นี้ เมื่อราคานั้นสามารถที่จะฟื้นตัวขึ้นมาจากการร่วงลงอย่างรุนแรงของตลาดได้
ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกกำลังพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อรัฐบาลทั่วโลกกำลังแห่พิมพ์เงินเพิ่มเพื่อนำเข้ามาอัดฉีดในตลาด เพื่อเยียวยาวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรน่า อย่างไรก็ตามวิกฤตเงินเฟ้อดังกล่าวนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนที่จะมองด้วย รวมถึงความเร็วในการที่จะเกิดขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
หลักๆนั้นเป็นเพราะว่าผู้คนที่ถือสินทรัพย์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะเกิดเงินเฟ้อก็ต้องการที่จะให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ เพื่อที่สินทรัพย์ที่พวกเขาถืออยู่จะมีมูลค่ามากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปต้องการให้มีการควบคุมอัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงในการเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
วิกฤตเงินเฟ้อในบางประเทศอย่างเช่นเวเนซุเอลาส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศต้องหันหน้าเข้าหาเหรียญคริปโตเคอเรนซี่อย่างเช่น bitcoin เพื่อนำมาใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามนาย Brad มองว่าเครือข่ายของ bitcoin และ ETH มันมีความล่าช้าจึงส่งผลทำให้เขาแนะนำให้ผู้คนใช้เหรียญ XRP มาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันวิกฤติเงินเฟ้อ
หากเราต้องการที่จะมองเห็นภาพใหญ่ที่นาย Brad พูดถึง สิ่งง่ายๆที่เราเห็นเลยนั้นก็คือเขามองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นจะสามารถอยู่รอดได้เนื่องจากว่ามันมีประโยชน์และความสามารถในการแก้ไขปัญหาบนโลกนี้ได้
หากลองนำเอาเหรียญ XRP ไปเทียบกับเหรียญอื่นๆมันก็คงจะไม่ใช่การเปลี่ยนที่ถูกต้องนักเนื่องจากว่าแต่ละเหรียญก็มีความสามารถที่แตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามกระแสของตลาดคริปโตของเมื่อปี 2017 หนังยังคงไม่จางหายไปไหน จึงทำให้นักลงทุนส่วนมากยังคงลืมไปถึงประโยชน์ของเหรียญแต่ละเหรียญแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
โดยสรุปก็คือเมื่อเราได้เห็นวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นอยู่บนโลกนี้ รวมถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก ดูเหมือนว่าการหันไปใช้คริปโตนั้นจะเป็นเพียงทางออกทางเดียว