นาย Michael Saylor หรือชายผู้อยุ่เบื้องหลังบริษัทด้านการลงทุนระดับโลกที่มีหุ้นที่ถูกซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาอธิบายผ่านการให้สัมภาษณ์กับนาย Anthony Pompliano ถึงสาเหตุที่ทำไมบริษัทของเขานั้นถึงเข้าซื้อ Bitcoin ด้วยเงินจำนวนมูลค่ามหาศาล
โดยเขานั้นได้อธิบายถึงสัญชาติญาณของเขาที่มองว่าราคาของพันธบัตรและหุ้นที่เพิ่มขึ้นจนขัดกับความเป็นจริง พร้อมชี้ว่าหากยังถือเงินสดไปอีกเป็นเวลานั้นนั้นก็จะทำให้เขามีปัญหาได้
“อย่างแรกก็คือ ผมมีปัญหาที่ใหญ่ ๆๆ มาก ๆ และปัญหาที่ใหญ่ดังกล่าวนั้นก็คือผมถือเงินสดไว้เยอะมาก และผมกำลังนั่งมองมันสูญเสียมูลค่าไปต่อหน้าต่อตา และหลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่นี้มันเป็นเรื่องที่บ้าอย่างมากเมื่อกราฟราคาในตลาดพันธบัตรนั้นมันฟื้นตัวเป็นรูปตัว V และรวมถึงตลาดหุ้นอีกด้วย”
นาย Saylor ได้เปรียบเทียบตลาดคริปโตในวันนี้ว่าเป็นเหมือนกับตลาดหุ้นบลูชิพของเมื่อสิบปีที่แล้ว
“สิ่งที่ผมต้องการนั้นก็คือบางสิ่งบางอย่างที่สามารถถูกหั่นให้เหลือครึ่งหนึ่งได้ และสามารถที่จะเพิ่มขึ้นได้ด้วยตัวแปรที่ 10 อันที่จริงแล้วนั่นถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนที่ฉลาดต้องการ นั่นถือเป็นสิ่งที่คุณต้องการเมื่อคุณซื้อ Amazon ในปี 2011 และนั่นคือสิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อคุณซื้อ Apple เมื่อตอนที่ iPhone นั้นถูกเปิดตัวออกมา นั่นถือเป็นสิ่งที่ผู้ชนะทุกคนจะได้ คุณต้องการราคาที่พุ่งขึ้น 10 เท่า”
เขายังเผยถึงสูตรสำเร็จด้านการลงทุนของเมื่อ 10-15 ปีที่ผ่านมาที่เขาเชื่ออีกด้วย
“สูตรสำเร็จของการลงทุนจากในช่วง 10 หรือ 15 ปีก็คือ การหาเครือข่ายดิจิทัลที่ดี ที่มันทำให้ตัวแปรพื้นฐานนั้นดูกลายเป็นของไร้สาระไปเลย เครือข่ายโทรศัพท์นั้นก็คือ Apple, เครือข่ายด้านข้อมูลข่าวสารนั้นคือ Google, เครือข่ายด้านวีดีโอนั้นคือ YouTube, โซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นคือ Facebook หรือแม้แต่ Twitter ก็คือเครือข่ายด้านการออกเสียง, ส่วน Amazon นั้นคือเครือข่ายด้านการค้าปลีก คุณจะซื้อมันเมื่อมันมีมูลค่าตลาดที่สูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ และเมื่อมันเติบโตขึ้น 10 เท่าใหญ่กว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกำลังจะมาถึงในอนาคต และมันมีมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ มันก็จะสามารถทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้”
นาย Saylor กล่าวว่าแม้ว่าปัจจุบันจะมีเหรียญคริปโตเป็นจำนวนมากอยู่ในตลาด แต่ Bitcoin นั้นก็ยังคงเป็นราชาอยู่ เขาได้เปรียบเทียบ Bitcoin กับสถานการณ์หนึ่งที่เมื่อ CEO ได้สั่งให้เซลของเขาไปประจำอยู่ที่แต่ละรัฐในประเทศสหรัฐฯ ก่อนที่จะค้นพบว่ารัฐที่มีเม็ดเงินมากที่สุดก็คือ New York
“ในวงการคริปโตทั้งหมดนี้ มันถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีนวัตกรรมและการทดสอบที่ดีกับ DeFi สิ่งหนึ่งที่เราจะทำก็คือการรักษาไว้ซึ่งสถานะของการเป็นตัวเก็บมูลค่าเหมือนกับทองคำดิจิทัล และพวกเราก็จะสามารถขยายพลังทั้งหมดเพื่อปกป้องเครือข่ายและรวมถึงอัพเกรดเครือข่ายได้เลยทีเดียว”