บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอย่าง Tesla เข้าซื้อ Bitcoin ด้วยเงินกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเหตุการณ์ในครั้งนี้จะพลิกโฉมหน้าวงการสกุลเงินดิจิทัลและการเงินโลกไปตลอดกาล
ในช่วง 2 ทุ่มเมื่อวานนี้ตามเวลาประเทศไทยได้เกิดกระแสฮือฮาในวงการ Cryptocurrency อีกครั้ง ภายหลังจากที่บริษัท Tesla นำโดย CEO บุคคลที่รวยที่สุดในโลกอย่างนาย Elon Musk ได้ยื่นเอกสารต่อก.ล.ต.สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลถึงการเข้าซื้อ Bitcoin เป็นจำนวนเงินกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
ส่งผลให้ราคา Bitcoin ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในทันทีตามที่ทาง Siam Blockchain ได้รายงานไปเมื่อวาน และได้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ $47,550 ในเช้าวันนี้ อีกทั้งราคาหุ้น Tesla (TSLA) ในดัชนี NASDAQ ปรับตัวพุ่งกว่า 2.5% หลังจากข่าวการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัท
สัญญาณที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในการถือครอง Bitcoin
จากการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัท Tesla แล้ว ในเอกสารที่ยื่นต่อก.ล.ต.สหรัฐฯ นั้นยังระบุด้วยว่าทาง Tesla ได้กระจายเงินสดสำรองของบริษัทไปลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ เช่น สินทรัพย์ดิจิทัลและทองคำ โดยมีแนวโน้มจะถือสินทรัพย์นั้น ๆ รวมไปถึง Bitcoin ใน ”ระยะยาว” ด้วย
อีกทั้งทางบริษัทจะเริ่มเปิดให้ชำระเงินด้วย Bitcoin ในการซื้อผลิตภัณฑ์ของ Tesla ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนประกอบ มอเตอร์ หรือแบตเตอรี่ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย โดยหากคุณมีเพียง 1 BTC นั่นก็เพียงพอแล้วที่คุณจะสามารถซื้อและเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ได้
นอกเหนือจากนี้ Tesla ยังได้ส่งพนักงานจำนวนหนึ่งไปเข้าร่วมสัมนากับทาง MicroStrategy ในเรื่องแนวทางการถือครอง Bitcoin โดยบริษัทของนาย Michael Saylor นั้นได้ถือครอง Bitcoin เป็นจำนวนกว่า 71,000 BTC มากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับนักลงทุนสถาบันในปัจจุบัน
ส่วนทางด้านนาย Elon Musk CEO ของบริษัทก็ได้กล่าวถึงวงการ Cryptocurrency และเหรียญดิจิทัลในตลาดคริปโตอยู่บ่อยครั้งผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวและการให้สัมภาษณ์ตามรายการต่าง ๆ ซึ่งทุกครั้งที่เขาออกมาเคลื่อนไหวได้ส่งผลให้ราคาของสกุลเงินดิจิทัลในตลาดมีความผันผวนเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
หนึ่งในการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนั้นก็คือการเปลี่ยน Bio ใน Twitter ส่วนตัวของเขาเป็น #Bitcoin เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา และการกล่าวถึงเหรียญดิจิทัลอย่าง Dogecoin (DOGE) อยู่บ่อยครั้งทำให้ราคาของมันได้พุ่งขึ้นกว่า 1,000% นับจากต้นปี 2021
นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่าทางบริษัท Tesla และ CEO นาย Elon Musk เชื่อมั่นในตัว Bitcoin มากน้อยแค่ไหน
บริษัทยักษ์ใหญ่แนวหน้าของโลกเตรียมแห่ถือ Bitcoin ตามรอย Tesla
การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลกครั้งนี้ทำให้บริษัทชั้นนำมากมายเริ่มหันมาสนใจที่จะถือครอง Bitcoin แทนเงินสด ซึ่งกรณีของบริษัท Tesla นั้นอาจเป็นชนวนที่ทำให้บริษัทน้อยใหญ่มีมุมมองต่อ Bitcoin เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ล่าสุดเป็นทางด้านของบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอย่าง Apple ที่มีข่าวลือว่าอาจกำลังพิจารณาเปลี่ยนการถือเงินสดเป็น Bitcoin แทน หลังจากที่ Tesla ได้ออกมาประกาศเมื่อคืน
ซึ่งทาง Apple ได้พัฒนา Apple Wallet มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นทางเลือกในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลผ่านทางผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และสามารถซื้อขายสินค้าของทางบริษัทผ่านสกุลเงินดิจิทัลได้
โดยก่อนหน้านี้มีบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมายที่กระโดดเข้ามายังวงการ Cryptocurrency และถือครอง Bitcoin อันได้แก่ Microstrategy, Galaxy Digital, PayPal, Square และล่าสุด Tesla
ซึ่งหากมองให้ดีแล้วบริษัทคู่แข่งที่ทำ Online Payment อย่าง PayPal และ Square ได้เริ่มเข้ามายังวงการ Bitcoin ก่อนหน้า Apple แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าบริษัทเจ้าของโลโก้แอปเปิ้ลแหว่งนี้จะตามรอยเข้ามาถือ Bitcoin ในไม่ช้า
Bitcoin ยังสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต
เม็ดเงินจำนวนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทางบริษัท Tesla ได้ทำการซื้อ Bitcoin นับเป็นเพียง 8% เท่านั้นสำหรับเงินสด 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทางบริษัทถืออยู่ โดยอ้างอิงจากรายงานของ CNBC ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทางบริษัทยังมีศักยภาพอีกมากที่จะสามารถซื้อ Bitcoin ได้
นั่นส่งผลให้โอกาสในการเติบโตของวงการ Cryptocurrency และ Bitcoin เพิ่มสูงมากขึ้น อีกทั้งยังไม่นับรวมกระแสข่าวของ Apple ที่อาจก้าวเข้ามายังวงการนี้ โดยทางบริษัท Apple ถือเงินสดกว่า 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หากลองจินตนาการถึงเม็ดเงินเหล่านั้นที่ได้แบ่งสรรเข้ามายังตลาดแห่งนี้ มูลค่าของ Bitcoin อาจพุ่งสูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดโดยรวมของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หากการเข้ามาของ Apple ยังตลาด Bitcoin นั้นเกิดขึ้นจริง โลกของเราอาจจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ การใช้ Bitcoin ในชีวิตประจำวันอาจเป็นเรื่องปกติ ซึ่งความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นนี้ย่อมเป็นตัวผลักดันให้ราคาสูงตาม แต่มันจะขึ้นไปถึงจุดไหนไม่มีใครอาจทราบได้ มีเพียงแค่คำถามทิ้งท้ายไว้ให้คิดว่า “แล้วเราล่ะมี Bitcoin แล้วหรือยัง?”