เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin นั้นได้ร่วงอย่างรุนแรงจนหลาย ๆ คนตั้งตัวไม่ทัน ราคาลดลงแตะจุดต่ำในรอบหลายเดือน และส่งผลทำให้นักซื้อหน้าใหม่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อช้อนของถูก
แต่ตั้งแต่นั้นมาโวลุมการซื้อขายก็ดูเหมือนว่าจะลดลงอย่างมาก และเหรียญที่ถูกนำมาขายตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูกขายโดยนักลงทุนที่ซื้อที่จุดสูงสุด หรือใกล้กับตำแหน่งดังกล่าว อ้างอิงจากรายงานล่าสุดของ Glassnode ที่เผยให้เห็นว่าตลาดในช่วงระยะสั้นนี้ดูเป็นขาลงอย่างมาก
“ปัจจุบันเครือข่าย Bitcoin มีการทำธุรกรรมอยู่ที่ 5.3 พันล้านดอลลาร์/วัน หากเทียบกับ 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของปี 2021” พร้อมเสริมว่า “ส่วนใหญ่ของธุรกรรมที่ทำนั้น ถูกนำไปขายด้วยลักษณะที่ขาดทุน”
หากกล่าวให้ชัดเจนก็คือผู้คนซื้อ BTC และนำไปขายที่ราคาขาดทุน และนั่นจึงเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ราคาร่วงลงมากกว่า 50% จากระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 63,562 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มว่าอาจจะร่วงลงมาต่ำกว่า $30,000 อีกครั้ง อ้างอิงข้อมูลจาก Nomics
Glassnode เผยว่าไม่ใช่ทุกคนที่เล็งจะ cashout เงินออกมาก่อนที่ราคาจะร่วงลงไปยังแนวรับใหม่ที่อยู่ที่ระดับราคา 26,500 ดอลลาร์ โดยพวกเขาค้นพบว่า 33% ของ Bitcoin ที่ถูกหมุนเวียนอยู่ในตลาดตอนนี้กำลังอยู่ในสถานะขาดทุน และยังไม่ได้ถูกขายออก นั่นหมายความว่า 1 ใน 3 ของมันนั้นถูกซื้อมาตอนราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ และกลุ่มคนเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นนัก HODL ระยะยาว
ผู้ถือเหรียญระยะยาวนั้นอาจกล่าวได้ว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของราคาเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าพวกเขาจะซื้อเหรียญบางส่วนที่ใกล้ ๆ จุดสูงสุด แต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้คุม supply ที่ราว ๆ 75% ของทั้งหมด ซึ่งมีราว ๆ 92% ที่กำไรไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม Glassnode เผยว่าการที่สภาพคล่องในตลาดเริ่มหายไปแบบนี้อาจส่งผลทำให้ราคานั้นกลับตัวพุ่งทะยานเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยกล่าวว่า “ช่วง bullish squeeze นั้นถูกริเริ่มโดยนักถือเหรียญระยะยาวที่ถือไว้ 65% (2x 2013), 75% (2017) และ 80% (2020) จากจำนวน supply ที่ถูกหมุนเวียนทั้งหมดนี้”
เมื่ออุปทานมีจำกัด ราคาก็สูงขึ้น แต่ทางบริษัทเตือนว่าเหรียญที่มีสถานะเป็นขาดทุนนี้อาจเป็นชนวนเริ่มต้นของการเทขายได้
Glassnode เผยว่านักเทรดที่คาดหวังให้ราคาพุ่งขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ไม่ควรตั้งความคาดหวังไว้เยอะ เนื่องจากว่าเราอาจจะได้เห็นการเทขายแบบขาดทุนจากนักเทรดมือใหม่อีก