<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

6 วิธีแก้ดอย สำหรับนักเทรดที่กำลังขมขื่น ท่ามกลางตลาดขาลง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หนึ่งในอาการสุดคลาสสิคที่นักเทรดหลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือการ “ติดดอย” ซึ่งในช่วงเวลาที่ราคาของเหรียญคริปโตเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงหรือเปลี่ยนเทรนด์จากขาขึ้นเป็นขาลงอย่างฉับพลันนั้นมักจะทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ไม่กล้า Cut loss และนำมาซึ่งอาการติดดอยดังกล่าวในท้ายที่สุด

วันนี้ทาง Siam Blockchain จะนำเสนอวิธีแก้ดอยง่าย ๆ ในช่วงตลาดหมีที่จะทำให้คุณไม่ต้องวิตกกังวลมากจนเกินไป แถมการถือเหรียญของคุณอาจไม่สูญเปล่าและยังมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้อีกด้วย จะมีวิธีใดบ้างสามารถติดตามได้ในบทความนี้

Istilah Bullish dan Bearish dalam Crypto

นำเหรียญที่ติดดอยไป Stake หรือ Farm 

วิธีแรกเป็นวิธีสุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีนี้ จากกระแสที่มาแรงของ Defi จึงทำให้เกิดการสร้างรายได้แบบ Passive Income อย่างมหาศาลโดยการนำเหรียญคริปโตไปทำการ Staking และ Farming ซึ่งเมื่อเทียบกับการฝากเงินกินดอกเบี้ยในธนาคารแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าเทียบไม่ติดเลยกับการได้รับผลตอบแทนในโลกคริปโต

หากจะทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ การ Staking คือการนำเหรียญคริปโตไปฝากกับผู้ให้บริการแล้วรอรับผลตอบแทนตาม % ที่ระบุไว้ ซึ่งสามารถทำได้ในกระดานเทรดชื่อดัง เช่น Binance, FTX, Zipmex หรือ PancakeSwap เป็นต้น เปรียบเสมือนการนำเงินไปฝากกับธนาคารทั่วไปแล้วรอรับดอกเบี้ย

ส่วน Farming คือกลไกส่วนหนึ่งบนโลก Defi เป็นการนำคู่เหรียญคริปโตไปฝากกับผู้ให้บริการที่เราเรียกว่า DEX หรือ Decentralized Exchange แล้วรับผลตอบแทนตาม Pool ที่ระบุไว้ อาจจะเป็น Governance Tokens หรือเหรียญคริปโตอื่น ๆ ก็ได้

วิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีความรู้เรื่อง Defi ระดับหนึ่งและมีความเชื่อมั่นในโปรเจกต์ของเหรียญที่ติดดอย รวมถึงเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มที่จะนำเหรียญไปฝาก จึงทำให้วิธีนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผลตอบแทนแบบ Passive Income ในช่วงตลาดกลายเป็นขาลงแต่ยังคงสามารถสร้างกำไรได้

สร้างความรู้ความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่ลงทุน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาลงทุนในโลกคริปโตแล้วเกิดติดดอย หนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณแก้ดอยได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงที่สุดคือ “การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่คุณกำลังลงทุนอยู่” สิ่งนี้จะทำให้ผู้ติดดอยมองเห็นถึงภาพระยะยาวของสินทรัพย์ที่กำลังลงทุนอยู่โดยไม่วิตกจนเกินไป

อย่างที่เราทราบกันดีกว่าคริปโตเคอร์เรนซีและ Bitcoin มักจะมี Cycle ของมันอ้างอิงตามสถิติในอดีตตามรอบ Bitcoin Halving ทุก ๆ 4 ปี ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนที่ติดดอยควรทำความเข้าใจนั่นก็คือ ความมั่นคงในสินทรัพย์และความเชื่อมั่นในระยะยาวในการลงทุน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันอาจจะติดดอย แต่หากศึกษาลงลึกไปจริง ๆ แล้วจะพบว่าอาจจะทำกำไรได้มหาศาลในอนาคตก็เป็นได้

ทั้งนี้จะทำให้ผู้ที่ติดดอยได้เข้าใจถึงความผันผวนของราคาและการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ในระยะยาว โดยจะมีประโยชน์มากกว่าหากช่วงระยะเวลาที่ติดดอย เราได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับมันจริง ๆ อาจจะช่วยให้เปลี่ยนมุมมองเป็นการลงทุนสะสม DCA ในระยะยาวได้ก็เป็นไปได้อีกด้วย

เล่นเกม NFT สร้างรายได้ในช่วงที่ติดดอย

อีกหนึ่งกระแสที่มาแรงที่สุดในปีนี้ก็คือความนิยมในการเล่นเกม NFT ที่รันอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนและสามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล ซึ่งในช่วงที่ตลาดกลายเป็นขาลง นักลงทุนเกิดอาการติดดอย บางคนได้โยกย้ายไปหารายได้หรือทำกำไรในโลกของ “เกม” บ้างก็ได้ผลตอบแทนอย่างท่วมท้น บ้างก็พอแก้ขัดจากการติดดอยได้

โดยเกมยอดนิยมที่สามารถสร้างกำไรให้แก่นักลงทุนได้แก่ Axie Infinity, Decentraland, Splinterlands, Sorare และ The Sandbox เป็นต้น โดยมีการซื้อขาย NFT เช่น อาวุธ ที่ดิน การ์ด ตัวละคร ไอเท็มภายในเกมต่าง ๆ ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักล้านบาทกันเลยทีเดียว โดยมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตขึ้นอีกมากจากกระแส Metaverse ซึ่ง “ที่ดิน” ในโลกเสมือนจริงหรือในเกมนั้นต่างถูกจับจองซื้อขายกันระดับหลักแสนและหลักล้านเลยทีเดียว

สิ่งนี้อาจเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลจากการติดดอย และสามารถนำกำไรจากการเล่นเกมมาทดแทนการขาดทุนหรือติดดอยจากการเทรดคริปโตได้

เปลี่ยนไปเทรดสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน อสังหาฯ

แน่นอนว่าการเทรดคริปโตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เพียงแต่ต้องรับมือกับความผันผวนของราคาพร้อมมีกลยุทธ์ในการเทรดที่ดี แต่หากยังไม่ค้นพบหนทางที่จะหลุดดอยแล้วล่ะก็ อาจจะต้องใช้เวลาที่ดอยอยู่นี้กลับไปเทรดสินทรัพย์การลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยลงเช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น

เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยอาจจะทำให้นักเทรดไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปและอาจได้รับผลตอบแทนมาถัวเฉลี่ยเหรียญคริปโตเพื่อให้หลุดดอยได้อีกด้วย

หรือหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นกับเหรียญที่ติดดอย ซึ่งหากเราศึกษาเข้าใจถึงแก่นของ Bitcoin จริง ๆ แล้ว จะพบว่าการติดดอยไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากมองในมุมของการลงทุนในระยะยาวเพราะในอนาคตมันมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล

ฝึกวาดรูปดิจิทัลและนำผลงานไปขายในรูปแบบ NFT 

วิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างรายได้ให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้เช่นกัน โดยปัจจุบันตลาด NFT มีการซื้อขายชิ้นงานมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ นับเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยนักเทรดที่ติดดอยหลายคนได้หันไปฝึกฝีมือชำนาญการทางด้านการวาดรูป การสร้างผลงานศิลปะดิจิทัล (Digital Arts) และนำเสนอผลงานลงแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Opensea และ Foundation เป็นต้น 

ทำให้เกิดการสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งสำหรับนักเทรดในช่วงที่ตลาดกลายเป็นขาลงและยังมีเหรียญที่ติดดอยอยู่ ซึ่งผลงานศิลปะในรูปแบบ NFT นั้นขึ้นอยู่กับความสวยงาม ความชื่นชอบของผู้ซื้อ (Collectors) ทั้งสิ้น หากนักเทรดท่านใดมีไอเดียและฝีมือในผลงานศิลปะ ก็อาจจะทำให้ผลงานของตนเองนั้นมีมูลค่าอย่างมหาศาลได้

ถัวเพิ่มอย่างมีระบบ

วิธีสุดท้ายอาจเป็นวิธีที่ต้องใช้กลยุทธ์และวางแผนอย่างดีสำหรับการซื้อแบบ “ถัวเฉลี่ย” แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและสามารถทำให้นักลงทุนหลุดดอยได้อย่างรวดเร็ว โดยกำหนดการเข้าซื้อเหรียญที่ติดดอยที่แนวรับสำคัญของราคา แต่อาจไม่ใช่เป็นการซื้อทั้งหมดในรอบเดียว อาจเป็นการแบ่งไม้ 5 ไม้ หรือ 10 ไม้ แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละคน

ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผู้ติดดอยได้ช้อนซื้อของถูกในราคาที่ถูกอย่างมีประสิทธิภาพ และการแบ่งไม้จะช่วยแก้ไขในกรณีที่ราคานั้นยังไม่ลงไปถึงจุดที่ถูกที่สุด เมื่อราคามีการฟื้นตัวกลับขึ้นมา จะทำให้การเข้าซื้อแบบถัวเฉลี่ยของเรามีกำไรเกิดขึ้นและสามารถทำให้หลุดดอยได้ไว้ยิ่งขึ้นกว่าการปล่อยทิ้งเหรียญไว้เฉย ๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักเทรดควรศึกษาและวางแผนอย่างดีก่อนการเข้าซื้อทุกครั้ง มิฉะนั้นอาจจะส่งผลให้เป็นการดอยเพิ่มก็เป็นได้

และนี่ก็เป็น 6 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้นักลงทุนหลุดดอยหรือคลายความวิตกกังวลจากการดอยในการลงทุนคริปโต ซึ่งก็มีนักลงทุนหลายท่านที่ทำแล้วได้ผลและยังช่วยให้ตลาดขาลงแบบนี้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรตัดสินใจด้วยตัวของท่านเอง บทความนี้เป็นเพียงการนำเสนออีกหนึ่งมุมมองเท่านั้น