<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สื่อกระแสหลักเริ่มตื่นตัวกับการพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สื่อกระแสหลักเมนสตรีมนั้นต่างก็กำลังจับตามองบิทคอยน์กันอย่างตาเป็นมันเนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยส่งผลให้ต้องกลับลำกันอย่างแทบไม่ทัน

สื่อหลักต่างประเทศอย่าง CNBC ไปจนถึง UK’s Daily Mail นั้นต่างก็รายงานข่าวเกี่ยวกับบิทตอยน์และ Ethereum เพียงไม่กี่สับดาหลังจากการโจมตีของมัลแวร์ WannaCry ที่พวกเขาเขียนพาดหัวข่าวที่ไม่ค่อยดีกับบิทคอยน์นัก

“ความต้องการในตัวของบิทคอยน์ในประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็นเชื้อเพลิงของราคาบิทคอยน์ให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยบิทคอยน์เป็นเงินที่สามารถส่งหากันได้ทั่วโลกอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ โดยไม่มีใครสามารถมาควบคุมได้” รายงานโดย Daily Mail เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้พวกเขารายงานข่าวเกี่ยวกับบิทคอยน์ว่าเป็น “เงินที่พวกนักเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์กำลังต้องการ”

ดูเหมือนว่าสื่อกระแสหลักต่างๆนั้นได้มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับบิทคอยน์ที่มีทั้งแง่บวกและแง่ลบปะปนกันไป รวมถึงคุณภาพและปริมาณของข้อมูลที่ยังขาดตกบกพร่อง

ยกตัวอย่างเช่นหนังสือพิมพ์ Sun สัญชาติอังกฤษที่รายงานข่าวเกี่ยวกับ Wannacry ว่าการส่งบิทคอยน์หากันนั้นไม่มีค่าธรรมเนี่ยมแม้แต่บาทเดียว

ในขณะที่ CNBC นั้นก็ยังคงโหมข่าวเพื่อความตื่นเต้น โดยรายงานว่า “เหรียญคริปโตตัวนี้มีมูลค่าเพิ่มมามากกว่า 150% ในปีนี้ โดยนับเป็นสินทรัพย์ที่ห่างไกลคำว่่าปลอดภัยมาก”

โดยพวกเขาเลือกที่จะรายงานเกี่ยวกับ นาย Brarry Silbert ที่ทำข้อตกลง SegWit ที่งาน Consensus 2017 ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาของบิทคอยน์พุ่งขึ้น

ส่วนสื่อในประเทศไทยนั้นล่าสุดหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้ออกมารายงานข่าวเกี่ยวกับบิทคอยน์ในประเทศไทยเช่นกัน โดยเลือกที่จะรายงานข้อมูลแบบเป็นกลาง แต่ก็ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่ชัดเจนและชวนให้สับสนเช่นรายงานที่บอกว่าบิทคอยน์มีมูลค่ามากกว่าสกุลเงินคู่แข่ง (ที่ไม่รู้ว่าคือสกุลเงินอะไร)

“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ บิทคอยน์ กลายเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ร้อนแรงที่สุด คือ ขนาดของเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งถือว่ามากกว่าสกุลเงินคู่แข่งเกินเท่าตัว” รายงานโดยผู้จัดการ

โดยก่อนหน้านี้มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ไม่ทราบสำนักพิมพ์รายงานข่าวเกี่ยวกับมัลแวร์ WannaCry ว่าทางเหยื่อจะต้องทำการจ่ายค่าไถ่เป็นบิทคอยน์ราวๆ 300-600 บิทคอยน์ (หรือราวๆ สิบล้านกว่าบาทในเวลานั้น) ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องควรจะเป็นมูลค่า 300 ดอลลาร์โดยจ่ายเป็นบิทคอยน์

ภาพจากโซเชียล