ผู้ใช้งานกระเป๋า Bitcoin บนโทรศัพท์มือถือหลายๆคนไม่ทราบว่าเงินของพวกเขาอาจกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงในช่วงเดือนพฤษจิกายนนี้
ในขณะที่กระเป๋า Bitcoin แบบเป็นแอพบนโทรศัพท์มือถือหลายๆตัวที่ถูกโฆษณาว่าสามารถหยิบยื่นความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับบุคคลยุค 4.0 ที่สามารถโอนและรับ Bitcoin ผ่าน Blockchain ได้เหมือนๆกับตัว client หลักๆได้ทั่วไปแต่สามารถทำงานได้ง่ายกว่านั้น เดือนพฤศจิกายนที่จะมาถึงนี้อาจจะสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้ใช้งานดังกล่าวได้ เนื่องมาจากว่า protocol กำลังจะมีการอัพเดตซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ หรือที่เราทราบกันดีว่าการ hard fork นั่นเอง
หลังจากที่มีการเปิดใช้งานโค้ด SegWit เกิดขึ้นแล้วเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ยังมีกลุ่มบริษัทผู้แสวงหาผลประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะทำการ hard fork เพื่อขยายขนาดบล็อกของ Bitcoin เนื่องจากพวกเขามองว่าการกระทำดังกล่าวจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมของ Bitcoin ที่ล่าช้าได้ โดยโค้ดการอัพเกรดดังกล่าวมีชื่อว่า SegWit2x ที่จะส่งผลให้บล็อกเชนของ Bitcoin ต้องแยกออกเป็นสองตัวอีกครั้ง ถ้าหากว่านักขุดทุกคนตัดสินใจที่จะไม่สนับสนุนตัวอัพเกรดดังกล่าว
กระนั้น โค้ดอัพเกรดดังกล่าวจะแตกต่างกับของ Bitcoin Cash เนื่องจากว่านักพัฒนากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ใช้งาน Bitcoin ยังสามารถทำธุรกรรมอยู่บน Blockchain ตัวเดิม และไม่ต้องการให้แยกออกเป็นสองตัว
นาย Jeff Garzik หรือนักพัฒนาของ SegWit2x ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่า
“เป้าหมายของการออกแบบ SegWit2x นั้นก็เหมือนกับการ fork ของ Ethereum ในครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมันคือการอัพเกรดระบบ Bitcoin ไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่”
โดยในการที่จะทำแบบนั้นได้ ทางนักพัฒนาที่ให้การสนับสนุนโปรเจคดังกล่าวได้ทำการตัดสินใจออกแบบโครงสร้างหลักๆของการอัพเดตที่จะยังสามารถทำงานร่วมกันได้กับแอพกระเป๋า Bitcoin “ที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน”
แต่นักพัฒนาบางคนเถียงว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียหลายๆข้อถ้าหากพวกเขาคิดที่จะทำแบบนี้
ข้อแรกก็คือ การส่ง Bitcoin หากันสำหรับผู้ใช้งานกระเป๋า Bitcoin แบบแพโทรศัพท์มือถือจะมีความเสี่ยงสูงมากหลังจากการ hard fork เสร็จสมบูรณ์
ต้านทานการโจมตีได้ VS ความสะดวกสบาย
ซึ่งแนวคิดแบบแรกดังกล่าวคือการตัดเอา “replay protention” ออก
replay protection คือเหตุการณ์ที่เมื่อ blockchain ถูกแยกออกเป็นสองส่วน และผู้ใช้งานของเหรียญดังกล่าวมีจำนวนเหรียญเท่าๆกันอยู่บนเชนทั้งสอง ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเมื่อผู้ใช้งานดังกล่าวทำการย้ายส่งเหรียญภายในเชนแรกนั้น เหรียญที่อยู่ในเชนที่สองก็จะถูกทำการเคลื่อนย้ายหรือส่ง (replay) ด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าผู้ใช้งานที่ไม่มีความรู้ในเชิงเทคนิคมากนัก ก็จะไม่มีวันทราบเลยว่าพวกเขามีเหรียญอยู่บนเครือข่ายทั้งหมดสองเชนในระหว่างที่มีการ hard fork เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือผู้ใช้งานอาจสูญเสียเหรียญของเขาโดยไม่รู้ตัว
“มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าคุณจะย้ายเหรียญจากอะไรและเมื่อไร” กล่าวโดยนาย Aaron Lasher หรือ CMO ของ Bread Wallet
ด้วยการที่นักพัฒนาและนักขุดทุกๆฝ่ายไม่ได้เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันเกี่ยวกับการ hard fork ของ SegWit2x นั้น ส่งผลให้คนบางคนได้ออกมาเขียนแถลงการณ์ประกาศแสดงการคัดค้านอย่างชัดเจน ซึ่งหากดูสถานการณ์แล้ว หลายๆฝ่ายเชื่อว่า Blockchain ของ Bitcoin นั้นยังไงก็ต้องถูกแยกออกเป็นสองตัวหลังจากการ hard fork อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาของ SegWit2x ก็มีเหตุผลในการตัด replay protection ออกไป ซึ่งก็คือเพื่อให้ SegWit2x นั้นสามารถทำงานร่วมกับกระเป๋าแบบ Simplified Payment Verification (SPV) ได้
“สิ่งที่คุณเรียกว่า replay protection นั้นมันเป็นสาเหตุทำให้ chain ถูกแยกออกเป็นสองตัว ซึ่งมันไม่เวิร์ค เพราะคุณจะทำให้กระเป๋าแบบ SPV [ที่มีมากกว่า 10 ล้านตัว] ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งมันถือเป็นสิ่งที่ทางทีม SegWit2x ต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” กล่าวโดยนาย Mike Belshe หรือ CEO ของ BitGo
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
การตัดสินใจ hard fork
กระนั้น หัวข้อการดีเบตในเรื่องของกระเป๋า Bitcoin บนโทรศัพท์ก็กลายมาเป็นที่ถกเถียงด้วยเช่นกัน
ผู้ให้บริการกระเป๋าดังกล่าวอย่างเช่น Electrum และ Bread Wallet ก็กำลังใช้ระบบ SPV อยู่เช่นกัน ซึ่งข้อดีของกระเป๋าที่ใช้ระบบประเภทนี้จะทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องถือ full node ที่เป็นตัวเก็บข้อมูลธุรกรรมบน blockchain ทั้งหมดตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน (ที่กินเนื้อที่ storage ของเครื่องอย่างมาก) ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับการส่งและรับ Bitcoin บนกระเป๋าแบบโทรศัพท์
ทว่าข้อเสียของกระเป๋าแบบ SPV นั้นก็มีเช่นกัน (นาย Rodolfo Novak หรือ CEO ของ Coinkite ถึงกับออกมากล่าวว่าตัว V หมายถึง Victim ที่แปลว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย)
เนื่องจากว่าระบบ SPV ในปัจจุบันนั้นจะทำการอ้างอิงเวอร์ชัน Blockchain ของ Bitcoin ที่มีนักขุดให้การสนับสนุนมากที่สุด ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าหากมันถูกแยกออกเป็นสองเวอร์ชัน และ SegWit2x มีแรงขุดจากนักขุดมากกว่า นั่นหมายความว่ากระเป๋าแบบ SPV ทุกตัวก็จะอ้างอิงจำนวน Bitcoin ที่อยู่บน chain ของ SegWit2x นั่นเอง
ผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin แบบแอพโทรศัพท์บางเจ้าก็ไม่ชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้สักเท่าไรนัก เนื่องจากว่ามันเป็นการยากที่จะอธิบายให้ลูกค้าของพวกเขาฟัง
“มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา เพราะว่าพวกเรานี่ได้รับผลกระทบโดยตรงเลย” กล่าวโดยนาย Lasher
สิ่งนี้จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ ซึ่งถ้าหากมันมี Bitcoin ทั้งหมดสองตัวนั้น ซอฟต์แวร์กระเป๋า Bitcoin ก็จะเกิดอาการสับสนว่าควรจะอ้างอิงเชนเวอร์ชันไหนดี เนื่องจากว่านักขุดจะทำการเลือกสลับขุด Bitcoin บนเชนแต่ละเชนตลอดเวลา (ซึ่งบางช่วงเวลาเชนบางเชนให้กำไรในการขุดมากกว่าอีกเชนสลับกันไป) แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงหลังจากการ hard fork ของ Bitcoin Cash ใหม่ๆ
“มันอาจจะทำให้ตัว client ของ SPV สับสน และทำให้กระเป๋าเหล่านี้สลับเชนของ Bitcoin ไปมา ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสูญเสียเงิน โดยมันจะขึ้นอยู่กับว่าเชนไหนมีนักขุดมาขุดมากกว่ากัน” กล่าวโดยนาย Matt Corallo วิศวกรจาก Chaincode
นาย Novak ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ในอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นด้วย
“สำหรับระบบ SPV นั้น คุณจะไม่รู้เลยถ้าหาก node ของกระเป๋าที่คุณใช้อยู่กำลังหลอกคุณ ยกตัวอย่างเช่น node ของ SegWit2x สามารถที่จะตบตาว่าตัวเองเป็น node Bitcoin ในอีกเชนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าหากไม่มี replay protection นั้น กระเป๋าของคุณอาจจะจ่ายเหรียญไปผิดเชน และสูญเสียเหรียญบนเชนของจริง” กล่าวโดยนาย Novak
โดยรวมแล้วนักพัฒนากำลังประเมินเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้อยู่ แต่ที่น่าสนใจก็คือนาย Lasher ได้ออกมายอมรับว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นจริง
“มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจหลายๆด้านที่แตกแขนงออกไป อะไรจะเกิดก็เกิดได้ และเหตุการณ์เหล่านี้ก็อยู่ในระดับตั้งแต่น่ารำคาญ ไปจนถึงโคตรอันตราย” เขากล่าว และเสริมว่าทาง Bread Wallet กำลังวางแผนที่จะแนะนำให้ผู้ใช้งานหยุดทำธุรกรรมในช่วง hard fork “ถ้าพวกเขาทำได้”
แล้วทางแก้ล่ะ
แต่เนื่องจากปัญหานี้ฝังลึกอยู่ในระดับของแอพพลิเคชัน ทำให้นักพัฒนาโพรโตคอลกำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
นาย James Hilliard หรือนักพัฒนาอิสระ Bitcoin ที่หลายๆคนรู้จักเขาดีเมื่อตอนที่เขาช่วยยับยั้งการแยกตัวของ Bitcoin เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ รวมถึงยังช่วยแนะนำการแก้ไขโค้ดของ SegWit2x ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานกระเป๋า Bitcoin แบบแอพโทรศัพท์สามารถเลือกเชนได้ว่าพวกเขาต้องการจะใช้ตัวไหน
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
กระนั้น ทางนักพัฒนา SegWit2x ก็เถียงคัดค้าน เนื่องจากว่าพวกเขาต้องการให้ทุกคนหันมาใช้เชนตัวใหม่ล่าสุดที่พวกเขาพัฒนาแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าผู้ใช้งานทุกๆคนจะต้องชอบมันแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักพัฒนาอีกส่วนก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้ใช้งานแอพกระเป๋าส่วนใหญ่สับสน และอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียเงินไปเลยก็ได้
นักพัฒนาบางคนแนะนำว่าควรที่จะเพิ่มขนาดพารามิเตอร์ของบล็อก แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดโดยรวมของ SegWit2x
นาย Lasher กล่าวสรุปว่า
“มันอาจจะมีข้อดีในการในการเพิ่มขนาดบล็อกอยู่บ้าง แต่พวกเราไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่พวกเขากำลังทำอยู่ในตอนนี้”
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น