รายงานจาก Bloomberg เผยให้เห็นถึงโมเดลการวิเคราะห์ของสถาบันการเงินอันดับต้น ๆ ของโลก JPMorgan ที่เคลมว่าตลาดการเงินของประเทศสหรัฐฯนั้นมีโอกาสถึง 60% ในการก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 2 ปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาด cryptocurrency
แม้ว่าโอกาสของสภาวะถดถอยของตลาดสหรัฐฯนั้นจะอยู่ที่ 28% หากอ้างอิงจากรายงานของปีหน้านี้ แต่ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงถึง 60% ในช่วงปีถัดไป และจะเพิ่มเป็น 80% ในอีกปีถัดไป
แม้ว่ารายงานของ JPMorgan จะไม่ได้มีการกล่าวถึงความรุนแรงของวิกฤตการเงินที่จะถึงนี้ และมันจะแรงขนาดไหนหากเทียบกับของปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้งตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาต่างก็ย่อยยับอย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งมันเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่าในวิกฤตครั้งต่อไปนั้นจะส่งผลกระทบไปยังหลาย ๆ วงการและตลาด รวมถึง cryptocurrency ด้วยเช่นกัน
โมเดลของ JPMorgan ได้มีการนำเอา “ตัวบ่งชี้ ซึ่งมีตั้งแต่ผู้บริโภคและธุรกิจ ไปจนถึงแรงงานผู้เยาว์, การขึ้นค่าแรง และสิ่งทอและโครงสร้างของส่วนแบ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ” ซึ่งตัวแปรเหล่านี้เมื่อนำมารวมกันทำให้พวกเขาได้ผลสรุปถึงเหตุการณ์ที่เป็นผลลบดังกล่าว ที่น่าสนใจคือตัวเลขภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทาง JPMorgan ทำนายออกมาที่ 28% มีมากกว่าของ Federal Reserve หรือธนาคารกลางสหรัฐฯที่ทำนายออกมาเพียงแค่ 14.5% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงจากบทความของ CCN แล้วนั้นจะพบว่ามีนักเศรษฐศาสตร์เป็นจำนวนไม่น้อยที่เชื่อถือข้อมูลจาก JPMorgan โดยต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากปัญหาด้านการค้าขาย
ด้วยความที่ตลาดการเงินแบบเก่ากับตลาด cryptocurrency นั้นเปรียบเสมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันเข้ากันได้ ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าคริปโตนั้นจะกลายมาเป็นตัวเลือกด้านการลงทุนอีกตัวหนึ่งในกรณีที่ตลาดหุ้นเกิดพังทลายขึ้นมา แม้ว่าตลาด cryptocurrency กำลังก้าวเข้ามาสู่เดือนที่ 11 ของตลาดหมี หลังจากที่ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์มาแล้วนั้น แต่ในระหว่างนั้นการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยี blockchain และ cryptocurrency ก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งสังเกตได้จากการที่มีธนาคารหลาย ๆ ธนาคารเริ่มที่จะพัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อให้รองรับ cryptocurrency แล้ว รวมถึงความเป็นไปได้ของ SEC สหรัฐฯที่จะประกาศอนุมัติ Bitcoin ETF ในช่วงปลายปีนี้ก็มีสูงเช่นกัน ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ล้วนเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงจรวด cryptocurrency ที่พร้อมจะปะทุให้เกิดตลาดกระทิงใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ บริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่น IBM, Volkswagen และ PNC Bank นั้นก็เริ่มเอาตัวเองเข้าไปผูกกับโปรเจ็ค cryptocurrency แล้ว ทำให้เริ่มมีมุมมองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นกำลังจะเริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดี แม้แต่ Facebook หรือ social network อันดับหนึ่งของโลกก็เคยมีข่าวลือว่าพวกเขากำลังจะออกเหรียญ cryptocurrency ของตัวเองเช่นกัน
สรุปคือ cryptocurrency นั้นมีศักยภาพทั้งในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และสกุลเงินแบบ dencetralized ที่มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกรณีที่นักลงทุนต้องการที่จะหา ‘ที่กำบัง’ จากความเสียหายตลาดการลงทุนแบบเก่า
ที่มา Ethereum World News
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น