เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในงาน Devconnect Argentina ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum อย่าง Vitalik Buterin ได้ปรากฏตัวบนเวทีในลุคที่เรียกเสียงฮือฮาด้วยแว่นตาทรง Willy Wonka และเสื้อยืดลาย หมูเด้ง (ฮิปโปแคระขวัญใจชาวไทยและชาวโลก) แต่สิ่งที่เด็ดยิ่งกว่าชุดคือถ้อยคำที่เขาใช้ฟาด Sam Bankman-Fried (SBF) และแพลตฟอร์ม FTX ที่ล่มสลายไป
FTX คือด้านกลับหัวของ Ethereum
Vitalik เปิดฉากด้วยการขึ้นสไลด์รูปหน้า SBF พร้อมคำพูดสวยหรูในอดีต ก่อนจะพูดว่า “FTX คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการนำหลักการของ Ethereum มากลับหัวกลับหาง 180 องศา”
เขาย้ำว่า Ethereum ถูกสร้างมาเพื่อเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ FTX เป็นทุกประการ
“Don’t be evil” vs “Can’t be evil”
Vitalik เปรียบเทียบแนวคิดที่น่าสนใจมากระหว่างระบบรวมศูนย์ (Centralized) กับกระจายศูนย์ (Decentralized)
- FTX (Centralized) ใช้แนวคิดแบบ “Don’t be evil” (อย่าทำชั่ว) ซึ่งคล้ายกับคติพจน์ยุคแรกของ Google โมเดลนี้บังคับให้ผู้ใช้งานต้อง “เชื่อใจ” ผู้นำองค์กรว่าจะไม่โกง แต่สุดท้าย FTX ก็พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อใจนั้นกินไม่ได้ เมื่อ SBF แอบเอาเงินลูกค้าไปหมุนจนเจ๊ง
- Ethereum (Decentralized) ใช้แนวคิด “Can’t be evil” (ทำชั่วไม่ได้) เพราะระบบบล็อกเชนถูกออกแบบมาให้กระจายศูนย์และตรวจสอบได้ด้วยโค้ด ทำให้ไม่จำเป็นต้องร้องขอความเชื่อใจจากใคร เพราะระบบมันป้องกันการโกงไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
ความต่างระหว่าง บริษัท กับ ชุมชน
อีกประเด็นที่ Vitalik เน้นย้ำคือโครงสร้างพื้นฐาน
- FTX คือ “บริษัท” มีโครงสร้างแบบศูนย์กลาง (Hub-and-spoke) ที่คอยดูดเงินและผลประโยชน์เข้าหาตัวกลาง
- Ethereum คือ “ชุมชน” คือกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้แก่กันและกัน โดยไม่มีใครคนใดคนหนึ่งกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
บทสรุปท่ามกลางตลาดหมี
แม้ราคา ETH จะเพิ่งร่วงหลุด 3,000 ดอลลาร์ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบหลายเดือน แต่ Vitalik ก็ยังคงยืนหยัดในอุดมการณ์เดิมว่า เทคโนโลยีที่โปร่งใสและเป็นกลาง (Credibly Neutral Technology) คือทางรอดเดียวของวงการคริปโต และเหตุการณ์ของ FTX ก็เป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้เรารู้ว่าทำไมโลกนี้ถึงต้องการ DeFi และการกระจายศูนย์
ที่มา: decrypt

