เมื่อวานนี้ (9 เมษายน ) ทางหนังสือพิพม์กรุงเทพธุรกิจได้ทำการตีพิมพ์บทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย หนึ่งในกูรูด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยบทความดังกล่าวมีชื่อเรื่องว่า “วิพากษ์ Bitcoin Standard กับทฤษฎีสมคบคิด” ซึ่งเป็นการวิจารณ์หนังสือ Bitcoin Standard และคอมมูนิตีคริปโตจากทาง ดร.โสภณ ซึ่งได้สร้างความสนใจให้กับชาวเน็ตทั้งฝั่งสนับสนุนและต่อต้านคริปโตเป็นอย่างมาก
ภายในบทความ ดร.โสภณ อ้างว่า Bitcoin ที่ถูกวางไว้ว่าเป็นรุ่งอรุณของเสรีภาพทางการเงิน เป็นการปลดแอกของผู้คนจากรัฐทรราช แต่ไม่แน่ว่าผู้สร้าง Bitcoin อย่าง “ Satoshi Nakamoto อาจเป็นทรราชเสียเอง และเหล่าผู้สนับสนุน Bitcoin เช่น Robert “พ่อรวยสอนลูก” Kiyosaki ก็เป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดของแผนการยักษ์ใหญ่นี้
เขายังได้ระบุอีกว่าแนวคิดของพวกนิยม Bitcoin นั้นผิดเพี้ยนและอันตราย เพราะชอบมองว่าการที่มีรัฐบาลมาคอยควบคุมเป็นสิ่งไม่ได้ ซึ่งทาง ดร.โสภณ ได้แย้งในประเด็นว่ารัฐบาลคือตัวแทนของประชาชน มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะเกิดทรราช ซึ่งการที่มีรัฐเป็นพยานในการจัดเก็บสินทรัพย์ย่อมทำให้ประชาชนอุ่นใจกว่า เช่นการจดทะเบียนโฉนดที่ดิน
ต่อมาในบทความ ดร.โสภณ ยังได้แย้งว่าเงินเฟ้อที่เหล่าผู้สนับสนุน Bitcoin กลัวกันนั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด เพราะเดี๋ยวปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะคลี่คลายได้ในเวลาต่อมา จากที่เราเคยเห็นมาตั้งหลายยุคหลายสมัย ดังนั้นจะไปอ้างว่าเงินเฟ้อด้อยมูลค่าว่าเป็นเพราะ รัฐทรราช หรือระบบการเงินบกพร่องไม่ได้
ดร.โสภณ ยังได้ยกตัวอย่างในประเด็นนี้อีกว่าสมัยก่อนก๋วยเตี๋ยวราคาไม่ถึงบาท แต่ปัจจุบันขึ้นมา 50 บาท แต่ราคาทองขึ้นจาก 400 บาท เป็น 40,000 บาท ดังนั้นเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ไม่ได้ขึ้นมากจึงทำให้เงินเฟ้อแทบไม่เคยถึง 7% อีกทั้งค่า GDP ของประเทศก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านตัว Bitcoin เขาได้ชี้ชัดว่า Bitcoin มีราคาที่ผันผวนมากโดยในรอบ 461 วันราคาขึ้นเกือบ 430 % โดยนัยนี้ใน 1 ปี ราคาเพิ่มเป็น 317.3% หรือเท่ากับเพิ่มขึ้น 217.3% หรือเกือบพอๆ กับดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ บิทคอยน์จึงมีเฟ้อสูงมาก และผู้คนก็นิยมเล่นเพื่อเก็งกำไร ที่หวังเก็บระยะยาวคงน้อยมาก จึงทำให้เกิดภาวะ “แมงเม่าบินเข้ากองไฟ”
กลับมาในประเด็นของการกล่าวอ้างว่า Satoshi Nakamoto นั้นเป็นทรราช ดร.โสภณได้อธิบายว่าเหล่ามหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกจำนวน 2,640 คน มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 12.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.68% ของความมั่งคั่งของคนทั้งโลก แต่หากสมมติว่าราคา Bitcoin อยู่ที่ $72,000 ต่อ 1 BTC และตัวของ Satoshi ถือเหรียญอยู่ 1 ล้าน BTC นั่นจะทำให้เขามีความมั่งคั่งที่ $72,000 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับเศรษฐีอันดับที่ 15 ของโลก เพียงแค่เขาเป็นคนสร้าง Bitcoin ขึ้นมา แล้วถ้าหากในอนาคตทั้งโลกยอมรับการใช้ Bitcoin เป็นหลักตัวของ Satoshi อาจได้ครองโลกโดยที่ไม่ต้องออกรบเพราะเขาครองทรัพย์สินถึง 4.76% ของคนทั้งโลก ซึ่งมากกว่าเศรษฐีระดับโลก 2,640 รวมกัน และเมื่อมีเงินก็คงมีอำนาจทางการเมืองสูง อาจจะยิ่งใหญ่กว่า เจงกิสข่าน จูเลียส ซีซาร์ หรือ อเล็กซานเดอร์มหาราช
โดยสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นมีความเป็นไปได้เพราะแม้พฤติกรรมจริงของนักลงทุนจะซื้อ Bitcoin มาเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น แต่ Bitcoin กลับพยายามส่งเสริมให้คนออมเหรียญไว้ ถ้าหากแผนการสำเร็จก็จะยิ่งเข้าทาง Satoshi ในการควบคุมตลาดและทยอยขาย Bitcoin ออกมาเรื่อย ๆ
และแม้ว่า Bitcoin จะชอบอ้างมาตลอดถึงการตรวจสอบได้ด้วย Peer-to-Peer แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้ชื่อจริงของผู้ทำการซื้อขาย ทำให้อาชญากรชอบใช้ Bitcoin เนื่องจากตรวจสอบชื่อไม่ได้ ทำให้ตัวของ Bitcoin ก็ยังมีจุดบกพร่อง อีกทั้งต้นทุนในกระบวนการขุด Bitcoin นั้นสูงมาก ๆ และทำลายสิ่งแวดล้อมอีกมโหฬาร
สุดท้ายนี้ ดร.โสภณ ได้เตือนผู้อ่านบทความมว่า เครือข่าย Bitcoin พยายามใช้สังคมแบบยูโทเปียมาโน้มน้าวเพื่อทำการขายเหรียญ ซึ่งเหล่าโค้ชต่าง ๆ ที่ออกมาอวย Bitcoin ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกขบวนการสมคบคิดทั้งนั้น “เราต้องระวังบิทคอยน์ให้ดีเพราะจะเป็นเครื่องมือในการสร้างจักรวรรดินิยมใหม่ขึ้นมาครองโลก”
ที่มา : Facebook