ราคา Bitcoin พุ่งทะลุระดับ 65,000 ดอลลาร์ ทำสถิติจุดสูงสุดในรอบหลายเดือน หลังจากจีนพิจารณาอัดฉีดเงินจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (1.4 แสนล้านดอลลาร์) เข้าสู่ธนาคารใหญ่ ๆ เพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ตามข้อมูลของ BEA ระบุว่า GDP ของสหรัฐฯ เติบโต เพิ่มขึ้นเป็น 3% จาก 1.6% ในไตรมาสที่แล้ว
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ยังรายงานว่า จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย เหลือ 218,000 ราย ในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ซึ่งบ่งชี้ถึงสภาวะตลาดแรงงานที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย
ตัวเลข GDP ล่าสุด ประกอบกับจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ลดลง ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งแนวโน้มในเชิงบวกนี้อาจมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงบวกต่อ Bitcoin ส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่
ราคาของ Bitcoin ในปัจจุบัน กำลังซื้อขายอยู่ที่เกือบ 65,500 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ TradingView โดยมูลค่าตลาดของ Bitcoin เพิ่มขึ้น 3.17% ซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่มีการเปิดเผยตัวเลข GDP
การปรับนโยบายการเงินในสหรัฐและจีน
ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ Fed ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 จุด ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่การระบาดของโควิด
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ราคา Bitcoin พุ่งทะลุุระดับ 64,000 ดอลลาร์ เนื่องจากคาดหวังว่า นโยบายการเงินระดับโลกจะผ่อนคลายลง โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน และการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ซึ่งจีนกำลังพิจารณาอัดฉีดเงินจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (1.4 แสนล้านดอลลาร์) เข้าสู่ธนาคารใหญ่ ๆ เพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการอัดฉีดเงินทุนครั้งใหญ่ที่สุดของจีนนับตั้งแต่ปี 2008 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
แหล่งเงินทุนที่มาจากพันธบัตรรัฐบาลใหม่นั้น อาจเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่าง Bitcoin เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง
ในขณะที่รายงาน ราคา Bitcoin กำลังซื้อขายอยู่ที่ 65,142.24 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.20% ภายใน 24 ชั่วโมง อ้างอิงข้อมูลจาก coinmarketcap
ที่มา : cryptobriefing