<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Adam Back วิจารณ์ Ethereum EVM! เหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแฮ็ก Bybit กว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Adam Back ซีอีโอของ Blockstream และหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการคาดการณ์ว่าอาจเป็น Satoshi Nakamoto ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์แฮ็ก Bybit ที่ทำให้แพลตฟอร์มสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ โดยเขาชี้ว่าต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถโจมตีสำเร็จนั้นเกิดจาก Ethereum Virtual Machine (EVM) เอง

“โครงสร้างที่ซับซ้อนของ EVM และธุรกรรมบน Ethereum ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่โจมตีระบบของ Bybit ได้” 

Adam อธิบายว่า Hardware Wallets เช่น Ledger HWW ไม่สามารถประมวลผลและตรวจสอบธุรกรรมที่มีความซับซ้อนได้ดีพอ ซึ่งส่งผลให้เกิดการ “blind signing” หรือการลงนามธุรกรรมโดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้อย่างถูกต้อง

ในกรณีของ Bybit แพลตฟอร์มพยายามโอน Ethereum มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์จาก cold wallet ไปยัง hot wallet แต่กลไกของ blind signing ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ Smart Contract เพื่อดึงสินทรัพย์ออกไปจนหมด คิดเป็นมูลค่ารวมถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์

Adam Back ย้ำว่า “ Bitcoin ยังคงมีอำนาจเหนือกว่า” พร้อมวิจารณ์ Ethereum และ EVM ว่าเป็นระบบที่ “ซับซ้อน เปราะบาง ไม่มีความปลอดภัย และต้องพึ่งพาการลงนามแบบมืดบอด”

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บุคคลสำคัญในวงการ Bitcoin อย่าง Samson Mow ได้ออกมาแซะ Ethereum โดยเสนอให้ Vitalik Buterin ทำการ rollback ระบบ เพื่อกู้คืนเงินที่สูญหาย คล้ายกับเหตุการณ์แฮ็ก DAO ในปี 2016 ที่ทำให้ Ethereum ต้องแยกออกเป็น Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC) ทางทีมพัฒนา Ethereum กลับยืนยันว่าธุรกรรมดังกล่าว ถือว่าเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักของโปรโตคอล

และล่าสุด ซีอีโอของ Bybit ยืนยันว่าทางแพลตฟอร์มสามารถปิดช่องว่างด้านสภาพคล่องของ Ethereum ได้เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ยังคงสร้างแรงกระเพื่อมต่อวงการคริปโต โดยเฉพาะประเด็นด้านความปลอดภัยของ Smart Contract และ EVM

ที่มา: UToday