เป็นที่ทราบกันดีว่าในทุกๆ 4 ปี Bitcoin จะเกิดเหตุการณ์ Halving ขึ้น ซึ่งเป็นการลดรางวัลที่นักขุดจะได้จากการปิดบล็อก Bitcoin ลงครึ่งหนึ่งส่งผลทำให้มีจำนวน Bitcoin ใหม่ออกมาสู่ตลาดน้อยลงและเป็นการสร้างภาวะขาดแคลน ในขณะที่ค่าความยากในการขุดยังคงเท่าเดิม
เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเหมืองขุด เพราะค่าใช้จ่ายของพวกเขานั้นยังคงเท่าเดิมในขณะที่รายรับนั้นลดลงกว่าครึ่งทำให้ AI กลายมาเป็นตัวช่วยชีวิตให้ธุรกิจยังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งบางธุรกิจอาจเป็นการหย่อนขาข้างเดียวลงน้ำ ในขณะที่บางธุรกิจกลับหันไปหา AI อย่างจริงจัง
ในบทความนี้เราจึงจะไปดูกันว่าทำไม AI จึงมีบทบาทเป็นอย่างมากในการช่วยเหมืองขุดและนักขุดให้รอดจากภาวะวิกฤต
ใช้ AI เพราะจำเป็นต้องเอาตัวรอด
Core Scientific ถือเป็นตัวอย่างชั้นยอดที่ทำให้เห็นภาพว่าทำไม AI ถึงเข้ามาช่วยเหมืองขุดให้พ้นวิกฤต โดยแต่เดิมบริษัทเคยยื่นขอล้มละลายไปในปี 2022 แต่แค่เวลา 2 ปีก็กลับฟื้นขึ้นมาขอจดทะเบียนเข้าตลาด Nasdaq อีกรอบ ที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะพวกเขาปรับตัวเปลี่ยนจากเหมืองขุด 100% กลายมาเป็นบริษัทที่ปล่อยเช่น data centers ให้กับบริษัท AI
ข้อมูลเปิดเผยว่าจากการเซ็นสัญญาแค่ครั้งเดียว (12ปี) Core Scientific สามารถปิดดีลมูลค่ากว่า $3.5 พันล้านได้ในทันทีผ่านการให้ CoreWeave มาตั้งอุปกรณ์ปฏิบัติการ ส่วนรายได้จากการขุด Bitcoin ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้บริษัทต้องทำการปรับตัวและเน้นชูโรงธุรกิจอื่นขึ้นมาแทนที่
เหมืองขุดอื่น ๆ เช่น Iren ได้เริ่มมีการทำธุรกิจ AI ด้วยเช่นกันโดยพวกเขาได้เริ่มลงทุนซื้อ GPUs มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 และได้เซ็นสัญญา AI ครั้งแรกด้วย GPU 248 เครื่อง แต่ถัดมาเพียงแค่ปีเดียวพวกเขาได้เปิดใช้งาน GPU แล้วกว่า 4,300 ตัว อีกทั้งยังสามาขุด Bitcoin ได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 282 BTC

เช่นเดียวกันกับเหมืองขุด Hive ที่ปรับตัวมาจาก Hive Blockchain ละเริ่มลงทุนกับ AI มาตั้งแต่ปี 2023 จนทำให้ในปัจจุบันธุรกิจ AI และโฮสต์สามารถทำกำไรให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วนกว่า 9 %

AI ดี แต่ก็ยังไม่ใช่ทุกอย่าง
ถึงแม้ว่าเทรนด์ AI จะเป็นเทรนด์ระดับเมกะที่ใหญ่กว่าคริปโตหลายเท่า แต่เหมืองขุดส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ละทิ้งความเป็นเหมืองขุดและนำ AI มาใช้ “หาลำไพ่พิเศษ เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Hut8 ที่ได้เริ่มมีการเปิดให้บริการเช่น GPU สำหรับธุรกิจ AI ผ่านการใช้บริษัทลูก Highrise AI

Hut8 เผยว่าในไตรมาสแรกของปี 2025 บริษัทได้ขุด Bitcoin เป็นจำนวนน้อยลงอย่างมากจากเดิมที่ 716 BTC ในปีก่อนหน้ากลับเหลือเพียง 167 BTC ทว่าถึงแม้บริษัทจะขาดทุนสุทธิกว่า $134.3 ล้าน แต่ Asher Genoot ซีอีโอกลับกล่าวว่า การดำเนินงานดังกล่าวเป็นผลมาจากการลงทุนที่ตั้งใจ ซึ่งทำให้อัตรา hashrate เพิ่มขึ้น 79%
ปัจจุบัน AI ยังคงเป็นส่วนเล็กๆ ในรูปแบบธุรกิจของ Hut 8 เนื่องจากบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด American Bitcoin ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ Hut 8 ถือหุ้นใหญ่ ได้ประกาศระดมทุน 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้ออุปกรณ์ขุด Bitcoin เพิ่มเติมอีกทั้งลูกชายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง American Bitcoin อีกด้วย
เจ้าใหญ่ไม่ได้อยู่สบาย
ทั้งนี้ ในวงการเหมืองขุด MARA Holdings และ Riot Platforms ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ใครก็คิดว่าจะสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ แต่ความจริงกลับแสนโหดร้ายและพวกเขาก็เริ่มหาช่องทางเตรียมรับมือกับวันที่จะไม่สามารถทำธุรกิจเหมืองขุดไว้แล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ครองตลาดในปัจจุบัน
Riot เริ่มมีการสำรวจธุรกิจ AI และ HPC ในปี 2025 นี้โดยการทดสอบเหมืองขุด Corsicana ให้ใช้งานกับอย่างอื่นได้ไหม ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบัน Riot จะยังไม่มีการเซ็นสัญญาใด ๆ แต่ด้วยขนาดของเหมืองขุดดังกล่าวที่สามารถรองรับพลังงานถึง 1 กิกะวัตต์ ทำให้เหมืองของพวกเขาเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี Riot ยังคงทำผลงานได้ดีอยู่ในด้านการขุด โดยใน Q1 ของปีนี้พวกเขาสามารถทำกำไรได้มากถึง $142.9 ล้าน ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมาเกือบเท่าตัว และยังคงครองตำแหน่งที่ 4 ของบริษัทที่มีการถือ Bitcoin มากที่สุดในโลก
ขณะเดียวกัน MARA ยักษ์ใหญ่ที่เป็นรองเพียง Strategy ก็มีความคิดที่จะกระจายธุรกิจออกไปนอกเหนือจากการขุดเพียงอย่างเดียว และได้เริ่มการทดลองต่าง ๆ มาตั้งแต่มีนาคม 2024 แต่ข้อมูลยังคงชี้ให้เห็นว่าทางบริษัทยังคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับตัวแต่อย่างใดในขณะนี้
ผู้ปฏิเสธ AI
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกบริษัทเหมืองขุดทุกรายจะเริ่มหันไปหา AI กันหมดในยุคสมัยนี้ เพราะ Canaan ผู้ผลิตเครื่องขุด ASIC กลับทำความเคลื่อนไหวสวนตลาดและได้ทำการสั่งปิดแผนกชิป AI เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และหันไปโฟกัสกับการทำฮาร์ดแวร์เครื่องขุด แม้สัดส่วนในตลาดของพวกเขาจะมีเพียงแค่ 2.1% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ Bitmain หรือ MicroBT
ที่มา : Cointelegraph

