<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

วิกฤตหนี้สหรัฐฯ จ่อปะทุ! Ray Dalio เตือนแรง เฟดอาจจำใจลดดอกเบี้ย ดัน Bitcoin พุ่งต่อ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ปรับตัวขึ้นเกือบเท่าตัว ท่ามกลางปัจจัยเอื้อหลายด้าน ตั้งแต่การยอมรับในวงกว้าง ไปจนถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับคืนสู่ตลาดคริปโต ทว่าในเวลาเดียวกัน “พี่ใหญ่แห่งเศรษฐกิจโลก” อย่างสหรัฐอเมริกา กลับกำลังเผชิญความปั่นป่วนทางการคลังครั้งใหญ่ และสองสิ่งนี้ Bitcoin และวิกฤตหนี้สหรัฐฯ อาจมีความเกี่ยวข้องกันมากกว่าที่หลายคนคาดคิด

ล่าสุด Ray Dalio มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังและผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ได้ออกโรงเตือนว่า สหรัฐฯ กำลังเดินหน้าสู่ “วิกฤตหนี้ระดับชาติ” ซึ่งอาจระเบิดขึ้นภายใน 1-3 ปีข้างหน้า หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม

Dalio ระบุว่า ในปีงบประมาณนี้ รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ มีแผนใช้จ่ายกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สามารถหารายได้จากภาษีและแหล่งอื่น ๆ ได้เพียง 5 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่ารัฐจะต้องกู้เพิ่มอีก 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาอุดช่องโหว่ทางการคลัง

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ รัฐบาลยังต้องกู้เงินเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปจ่าย “ดอกเบี้ย” และอีก 9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อ “รีไฟแนนซ์หนี้เดิม” ที่กำลังจะครบกำหนดชำระ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ถือเป็นแรงกดดันขนาดใหญ่ที่เสี่ยงต่อการทำให้ระบบการเงินของประเทศเข้าสู่ภาวะเปราะบางอย่างมีนัยสำคัญ

Dalio ยังชี้ให้เห็นถึง ความตึงเครียดทางการเมือง โดยเฉพาะแรงกดดันจากฝั่งของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลต่อ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างมีนัยสำคัญ หากทรัมป์กลับขึ้นมามีบทบาทอีกครั้ง

หนึ่งในข้อเรียกร้องที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือการผลักดันให้เฟด “ลดอัตราดอกเบี้ย” ลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เดือนกันยายนอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่นโยบายการเงินของเฟดจะถูกปรับทิศทาง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจทำให้ “เงินเฟ้อ” กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง 

และเมื่อเงินกลับมาเฟ้อขึ้นสิ่งที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การลดลงของมูลค่าตราสารหนี้ (Bonds) และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่ง Ray Dalio เตือนชัดว่า หากปัญหาเหล่านี้ไม่ถูกจัดการอย่างเร่งด่วน อาจนำไปสู่ภาวะที่สินทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถทำหน้าที่ “รักษามูลค่า” ได้อีกต่อไป นั่นเท่ากับว่า เสถียรภาพของระบบการเงินโลกแบบดั้งเดิมกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการล่มสลาย

Dalio ระบุว่า เมื่อ “ดอลลาร์” เริ่มอ่อนแอ คริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Bitcoin อาจกลายเป็น “สกุลเงินทางเลือก” ที่มีศักยภาพในการทดแทน เพราะมี จำนวนจำกัด โดยธรรมชาติ ไม่สามารถสร้างเพิ่มได้ตามใจ ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับดอลลาร์ที่ธนาคารกลางสามารถอัดฉีดเข้าสู่ระบบเมื่อไรก็ได้

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ทันทีที่อุปทานของดอลลาร์พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการในตลาดลดลง จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ “โลกเริ่มมองหาเงินทางเลือก” และคริปโตนั่นแหละคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้

ไม่ใช่แค่ดอลลาร์เท่านั้นที่กำลังเดินไปสู่ทางตัน Dalio ยังมองว่า สกุลเงินเฟียตทุกสกุล ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาระหนี้ขนาดใหญ่ กำลังสูญเสียความสามารถในการเป็น “แหล่งกักเก็บความมั่งคั่ง” อย่างแท้จริง และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โลกเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้ Dalio เตือนว่า บทเรียนจากยุค 1930 และ 1970 ยังคงสะท้อนอยู่ และกำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้ง

ในอีกด้านหนึ่ง Max Keiser นักลงทุนผู้ศรัทธาใน Bitcoin ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ก็ออกมาให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเตือนว่า หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ทะลุ 200 ล้านล้านดอลลาร์ จะบีบบังคับให้ประเทศต้อง “พิมพ์เงินออกมาแบบไม่หยุดพัก” ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกเจือจาง จนส่งผลให้ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นถึง $2,000,000 ต่อ BTC ได้จริง

แม้ตัวเลขนี้อาจฟังดูไกลเกินจริงในมุมของนักลงทุนแบบดั้งเดิม แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อแบบเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือ Michael Saylor ซีอีโอผู้ทุ่มสุดตัวซื้อ Bitcoin เขาเชื่อมั่นว่า BTC จะวิ่งถึงระดับ $1,000,000 ได้ในอนาคตอันใกล้

คำถามที่เริ่มผุดขึ้นในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่ “Bitcoin จะแพงถึงขนาดนั้นได้ยังไง?” แต่กลายเป็นว่า “หรือจริง ๆ แล้ว มูลค่าของดอลลาร์ต่างหาก ที่กำลังร่วงลงโดยที่เราไม่รู้ตัว?” และนั่นเองที่ทำให้คำกล่าวของ Ray Dalio ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม


ที่มา : Forbes