<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ETH หลุด $3,000! “วาฬเทขายหนักสุดในรอบ 4 ปี” ผสมโรง ETF เลือดไหลไม่หยุด เงินหนีไป SOL

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคา Ethereum (ETH) ได้ร่วงหลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ลงมาแล้ว ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจาก Perfect Storm หรือพายุข่าวร้ายที่โหมกระหน่ำตลาดคริปโตในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเฉพาะแรงเทขายจากกลุ่มทุนใหญ่ที่ดูเหมือนจะหมดความอดทน

เลือดไหลไม่หยุด! ETF โดนถอนเงินออกกว่า 1.4 พันล้าน

ปัจจัยกดดันหลักคือวิกฤตความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนสถาบัน ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ากองทุน Spot Ethereum ETF กำลังเผชิญภาวะเลือดไหลออกอย่างรุนแรง โดยมียอดเงินไหลออกสุทธิ (Net Outflows) รวมกันกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท) นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน

ลำพังแค่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (14 พ.ย.) เพียงวันเดียว ก็มีเงินไหลออกไปถึง 259 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า “Smart Money” หรือเงินทุนจากสถาบันกำลังถอยฉากออกจาก Ethereum เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของตลาด

วาฬตื่น! ผู้ถือยาวเทขายหนักสุดตั้งแต่ปี 2021

สัญญาณอันตรายยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อดูข้อมูล On-chain พบว่ากลุ่ม Long-term Holders หรือผู้ที่ถือเหรียญมานานกว่า 3-10 ปี เริ่มมีการเทขายเหรียญออกมาในอัตราที่ เร็วที่สุดและหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021

นี่ไม่ใช่พฤติกรรมปกติ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าคนที่เคยศรัทธาในระยะยาว เริ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบัน และเลือกที่จะขายเพื่อล็อกกำไรหรือหนีตายก่อนที่ราคาจะดิ่งลงไปลึกกว่านี้

ราคาคู่เหรียญ ETH/USD (สีน้ำเงิน) เปรียบเทียบกับมูลค่าตามราคาตลาดของ Altcoin (สีแดง) (ที่มา: TradingView)

กลัวเศรษฐกิจพัง ฉุดทั้งตลาด ไม่ใช่แค่ ETH

การร่วงลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของ Ethereum แย่ลง แต่เป็นผลกระทบจากปัจจัยมหภาค (Macroeconomics) ที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่โหมด “หนีความเสี่ยง” (Risk-off)

  • ความกังวลระดับโลก ปัญหา Government Shutdown ในสหรัฐฯ, กำแพงภาษีนำเข้าใหม่ และความไม่แน่นอนของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง
  • ฟองสบู่ AI เริ่มสั่นคลอน ความกังวลในอุตสาหกรรม AI ที่ต้นทุนพุ่งสูงแต่ผลกำไรยังไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบชิ่งมาถึงตลาดเทคโนโลยีและคริปโต
ค่าพรีเมียมรายปีของสัญญาฟิวเจอร์ส ETH อายุ 2 เดือน (ที่มา: laevitas.ch)

กองทุนและบริษัทสำรอง ETH เจ็บหนัก

ข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์สชี้ว่า แรงซื้อเก็งกำไรขาขึ้นแทบจะหายไป (Premium ต่ำกว่า 5%) ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทที่ถือครอง ETH เป็นสินทรัพย์สำรอง เช่น Bitmine Immersion, SharpLink Gaming และ The Ether Machine กำลังเผชิญภาวะขาดทุนทางบัญชี (Unrealized Losses) เมื่อมูลค่าหุ้นของบริษัทเหล่านี้ร่วงต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ความน่าสนใจในการระดมทุนเพื่อซื้อ ETH เพิ่มจึงลดลงตามไปด้วย

ยอด TVL บน Ethereum (แกนซ้าย, สีน้ำเงิน) เปรียบเทียบกับปริมาณการซื้อขายบน DEX (สีม่วง) ในหน่วยดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: DefiLlama)

กิจกรรมบนเชนหดหาย คู่แข่งหายใจรดต้นคอ

อีกหนึ่งสัญญาณลบคือข้อมูล On-chain ที่แสดงให้เห็นว่าการใช้งานเครือข่ายลดลง

  • ยอดเงินฝากบนเครือข่าย (TVL) ลดลงเหลือ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน (ลดลง 13% ใน 30 วัน)
  • ปริมาณการซื้อขายบน DEX ลดลงเหลือ 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์ (ลดลง 27%)
  • ในแง่ปริมาณการซื้อขาย Ethereum กำลังเจอความท้าทายจาก Solana และ BNB Chain แม้ว่า Ethereum จะยังครองแชมป์หากนับรวม Layer-2 ก็ตาม
การจัดอันดับบล็อกเชนตามปริมาณการซื้อขายบน DEX ในรอบ 30 วัน (หน่วยดอลลาร์สหรัฐ) (ที่มา: DefiLlama)

เทรนด์ “หนีไป SOL”

ในขณะที่ Ethereum กำลังซวนเซ กระแสเงินทุนกลับไหลสวนทางไปหาคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Solana (SOL) ข้อมูลชี้ว่าในขณะที่ ETH ETF มีเงินไหลออกต่อเนื่อง กองทุน ETF ของ Solana กลับมียอดเงินไหลเข้า (Inflows) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตอกย้ำภาพการ “ย้ายค่าย” ของนักลงทุนที่มองหาบล็อกเชนทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและโมเมนตัมที่ดีกว่าในเวลานี้

การจัดอันดับบล็อกเชนตามจำนวนธุรกรรมในรอบ 7 วัน (ที่มา: Nansen)

อะไรจะทำให้ราคาดีดกลับไป $3,900?

นักวิเคราะห์มองว่า การย้ายกิจกรรมไปสู่ Layer-2 (เช่น Base, Arbitrum) แม้จะทำให้ค่าธรรมเนียมบนเชนหลักลดลง (ส่งผลต่อการเบิร์นเหรียญน้อยลง) แต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะมันช่วยเสริมแกร่งให้ Ethereum เป็นผู้นำในด้าน RWA และ Stablecoin

จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ ETH กลับเป็นขาขึ้นและลุ้นทดสอบแนวต้าน 3,900 ดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยภายนอก เป็นหลัก

  1. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลง
  2. ธนาคารกลางกลับมาอัดฉีดสภาพคล่อง (Liquidity) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่ง ETH จะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินก้อนนี้เต็มๆ

ที่มา: Tradingview, Tradingview, Bitget, cointelegraph