ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นได้ออกมาแจ้งความความเกี่ยวกับคดีหลอกลวงด้าน cryptcocurrency แล้วประมาณ 33 คดีนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมา โดยมีเม็ดเงินที่สูญเสียไปแล้วมากกว่า 500,000 ดอลลาร์รวมกัน
โดยอ้างอิงจากรายงานของ Nikkei และ The Yomiuri Shimbun ทางสถานีตำรวจแห่งชาติ (NPA) ในญี่ปุ่นได้รายงานความเสียหายจากการฉ้อโกงดังกล่าวโดยมีมูลค่าประมาณ 76.5 ล้านเยน (710,848 ดอลลาร์) ระหว่างเดือนมกราคมและกรกฎาคม ซึ่งอัตราความถี่ระหว่างคดีนั้นดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะสอดคล้องกับมูลค่าตลาดรวมของเหรียญ Cryptocurrency ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน โดยมีรายงานมูลค่าความเสียหายราวๆ 17.3 ล้านเยนที่ถูกรายงานมาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแค่เดือนเดียว
คดีนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin, Ether และ XRP ของ Ripple ซึ่งรายงานกล่าวว่าสกุลเงินที่มีอัตราการฉ้อโกงสูงสุดนั้นคือ Bitcoin
โดยอ้างอิงจาก The Mainichi หรือหนังสือพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีรายงานว่า
“ความเสียหายจากการฉ้อโกง cryptocurrency ตั้งแต่ต้นปีมาถึงเดือนมิถุนายนนี้ มีเกี่ยวข้องกับ Ripple ที่มีมูลค่าถึง 29.6 ล้านเยน ตามมาด้วย Bitcoin ที่เกือบๆ 29.3 ล้านเยน และมีเหรียญอื่นๆอย่างเช่น Ethereum และ NEM ที่มีมูลค่าความเสียหายราวๆ 200,000 และ 100,000 เยน”
ที่น่าสนใจคือ รายงานข่าวระบุว่าบัญชีของผู้เสียหายนั้นไม่มีระบบ 2-factor ติดตั้งไว้ ทว่าก็มีอยู่สามบัญชีที่มี 2-factor แต่ก็ยังถูกฉ้อโกงได้ ระบบ 2-factor คือระบบช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับบัญชีดิจิตอล ซึ่งจะทำงานโดยให้รหัสสุ่มกับผู้ใช้งานสำหรับล็อกอินเข้าบัญชีนั้นๆ
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
ทาง NPA ก็ไม่ได้เปิดเผยให้เห็นว่าขโมยเหล่านั้นใช้วิธีแฮค 2-factor ขโมยเหรียญคริปโตออกไปได้อย่างไร จนถึงขณะนี้ทางตำรวจก็ไม่ได้ออกมากล่าวว่าสามารถกู้คืนเงินดิจิตอลที่ถูกฉ้อโกงไปได้หรือยังเช่นกัน อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ Mainichi ทางตำรวจกล่าวว่าเหรียญที่ถูกขโมยไปนั้นอาจจะถูกนำไปแลกเป็นเงินแล้วก็เป็นได้
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น