โพลสยามบล็อกเชนได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้งานเหรียญดิจิตอลของคนไทยในด้านต่างๆที่น่าสนใจ โดยการเก็บผลสำรวจดังกล่าวนี้ใช้เวลาทั้งหมด 7 วัน และมีผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามประมาร 2,055 คน ซึ่งผลสำรวจได้แสดงให้เห็นว่าคนไทยใช้เหรียญ Bitcoin มากเป็นอันดับหนึ่ง (41.8%) รองลงมาคือ Ethereum (25.4%) อันดับสามคือ Litecoin (11%) อันดับสี่คือ Ripple (8.7%) อันดับห้าคือ ETC (5.8%) และยังมีเหรียญอื่นๆอีกที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง โดยจุดประสงค์ในการใช้อันดับหนึ่งคือเพื่อลงทุนขุดและอันดับที่สองคือเพื่อทำการเทรด
เติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคง
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระแส cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้าง และการเลือกใช้สกุลเงินอื่นๆนอกเหนือจาก Bitcoin เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่าตลาด cryptocurrency ในไทยนั้นได้เติบโตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังมองการใช้งานเหรียญดิจิตอลเหล่านี้ว่าเป็นการลงทุนเพื่อ “รวยทางลัด” อยู่ก็ตาม แต่ผลสำรวจนั้นได้บอกเพิ่มอีกว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้เหรียญคริปโตอย่าง Bitcoin เพื่อใช้จ่ายและซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือเป็นจุดประสงค์หลักที่มันถูกสร้างขึ้นมา แม้ว่าจะยังมีเพียงแค่ 7.1% ของกลุ่มตัวอย่างก็ตาม แต่ก็เป็นข้อบ่งชี้ถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของ Bitcoin ในแบบที่มันควรจะเป็นมากกว่าการเป็นเพียงแค่กระแสการลงทุนที่ผ่านมาเพื่อผ่านไปแบบเร็วๆ
เมื่อไม่นานมานี้มีร้านค้าและร้านอาหารบางร้านอย่างเช่น ลิ้มเหล่าโหงว ที่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ชื่อดังในกรุงเทพฯที่เปิดรับ Bitcoin เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการจ่ายเงิน และยังมีอีกหลายๆร้านที่กำลังขยับตามมา
กระแส ICO ยังไหลมาไม่ถึงประเทศไทย
ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือมีเพียงแค่ 6.2% ของกลุ่มตัวอย่างที่ลงทุนในตัว ICO ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกมาก เนื่องจากปัจจุบันกระแส ICO นั้นมาแรงในชนิดที่ทำให้บางบริษัทสามารถระดมเงินทุนด้วย ICO เป็นระดับหลักล้านดอลลาร์ภายในเพียงแค่ไม่กี่วินาที รวมถึงการติดขัดของเครือข่าย blockchain ของ Ethereum ที่ส่งผลให้มีธุรกรรมค้างอยู่บนเครือข่ายเป็นจำนวนมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าการซื้อ ICO ในปัจจุบันนั้นทำได้ยากเพราะมีหลายๆคนต่างก็แย่งกันซื้อในวันเปิดตัวของแต่ละ ICO จนทำให้หลายๆคนไม่สามารถซื้อทันเวลาได้
อนาคต “ไทยแลนด์ 4.0” ต้องปลูกเยอะๆและหมั่นรดน้ำ
กระนั้น ก็มีประมาณ 2.3% ของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าใช้เหรียญคริปโตอย่าง Ethereum ในการสร้างและพัฒนาโปรเจค Blockchain เป็นของตัวเอง ซึ่งจุดนี้อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากของวงการ blockchain และ cryptocurrency ของประเทศไทย เนื่องจากมันเป็นตัวที่สามารถช่วยตัดสินความเจริญก้าวหน้าของวงการนี้ในประเทศ อีกทั้งยังเป็นตัวที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น “ประเทศไทย 4.0” อย่างเต็มตัว
แม้ว่าในตอนนี้นักพัฒนาในประเทศที่เชี่ยวชาญด้านนี้ยังมีน้อย แต่เมื่อไม่นานมานี้เราก็ได้เห็นนักพัฒนาในไทยที่มีฝีมือออกเหรียญคริปโตมาให้ได้ยลโฉมกัน ไม่ว่าจะเป็น Hommalicoin, BitAsean และ Zcoinรวมถึงบริษัทเกิดใหม่อย่าง Smart Contract Thailand ที่เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางด้าน Smart contract ในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้
ทางธนาคารแห่งประเทศไทยที่เคยออกมาแบน Bitcoin เมื่อปี 2013 แต่ก็มีท่าทีเปลี่ยนไป โดยไม่นานมานี้พวกเขาได้ออกมาประกาศว่ากำลังศึกษา Bitcoin อยู่ โดยนั่นอาจส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็นการทำให้ Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่นๆถูกกฏหมายก็เป็นได้ รวมถึงธนาคารไทยพาณิชย์ที่ออกมาเปิดให้บริการโอนเงินด้วย Blockchain ของ Ripple ระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในรอยต่อของ 3.0 กับ 4.0 อย่างแท้จริง
อ่านเพิ่มเติม: 5 สิ่งที่อาจตามมาหากธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้ Bitcoin ถูกกฏหมาย
อาจกล่าวได้ว่าวงการ Blockchain และเหรียญ cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นในปัจจุบันนั้นกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะมีกระแสการลงทุนด้านการขุดมากลบหมด รวมถึงการใช้เหรียญดิจิตอลเพื่อลงทุนทำกำไรมากกว่าการใช้งานจริง (ไม่ใช้ตามจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา) แต่อย่างน้อยมันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ในอนาคตชาวไทยอาจจะได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย รวมถึงอิสระในการใช้ในเงินแบบที่ไม่ต้องมีการมาผูกขาดในอนาคตอันใกล้นี้ และกลายเป็นสังคมไร้เงินสดในแบบที่หลายๆคนใฝ่ฝันไว้ในที่สุด
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น