หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของนักเขียน ผู้อ่านควรที่จะอ่านและวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ไม่ควรเชื่อทั้งหมด 100% การลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี
ลองจินตนาการตัวคุณว่าเป็นนักลงทุนตัวยงในตลาดหุ้นกระทิงที่ราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและคุณก็กำลังคิดว่า portfolio ของคุณกำลังกลายขยายไปแล้วราวๆ 10% คุณลงทุนในหุ้น S&P 500 ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 9.54% ในช่วงปี 2017 นี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าผมบอกคุณว่าอัตราผลตอบแทนของคุณอาจจะมากถึง 50% หรือ กระทั่ง 100% หรือมากกว่านั้นถ้าคุณไปลองไปลงทุนอย่างอื่นล่ะ?
ก็คงใช่ ฟังดูแล้วคุณอาจจะสนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณได้ยินคำว่า Bitcoin หรือ Ethereum นั้น นักลงทุนหรือนักเทรดสายกระแสหลัก (เช่นหุ้น, พันธบัตร, แร่ธาตุ และฟอเรกซ์) ก็คงจะจบบทสนทนาลง ณ ตรงนั้นและกล่าวว่า “มันเสี่ยงมากเกินไป” แต่เดี๋ยวก่อน…
ในบทความนี้ผมอยากจะบอกคุณว่า อย่าไปกลัวเหรียญ cryptocurrency อย่าละทิ้งโอกาสที่จะคุณอาจจะสร้างกำไรเหมือนกับที่นักเทรดสายคริปโตหลายๆคนได้ทำมาแล้ว
ความจริงมันก็มีความเสี่ยงสูง แต่มันก็ไม่ได้สูงถึงขั้นที่จะทำร้ายเงินของนักลงทุนให้หายหมดได้ในพริบตา จริงๆแล้วตลาดเหรียญ cryptocurrency ได้เติบโตมามากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ และก็เป็นอะไรที่น่าสนใจที่จะลองหันมามองมันอีกครั้งหนึ่ง นี่คือความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนถึง “ข้อดี” ในการลองเจียดจำนวนเปอร์เซ็นต์บน portfolio ของคุณมาทดสอบลงทุนในเหรียญ cryptocurrency ดู
คุณจะลองดูหรือไม่ลองก็ได้ เพราะสุดท้ายเงินลงทุนก็เป็นของคุณ กำไรหรือขาดทุนก็ถือเป็นการตัดสินใจของคุณที่เกิดจากการวิเคราะห์ที่ตกผลึกมาอย่างดีแล้ว
ความเสี่ยง
อ้างอิงจาก Investopedia “ความเสี่ยง คือโอกาสในการได้ผลการตอบแทนด้านการลงทุนที่ผิดแปลกไปจากที่คาดเดาไว้ตั้งแต่แรก ความเสี่ยงประกอบไปด้วยโอกาสในการสูญเสียจำนวนเงินทุนที่มีในตอนต้นเป็นจำนวนบางส่วน หรือทั้งหมด”
ในขณะที่ผู้คนเลือกวิธีการปั้น portfolio ด้วยตลาดหุ้น หรือ หุ้นบลูชิพนั้น ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า
หุ้นบลูชิพคืออะไร? มันคือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานการเงินและโครงสร้างบริษัทที่มั่นคงและน่าไว้ใจมานานนับหลายปี หุ้นบลูชิพนั้นมักจะมีขนาดของมูลค่าตลาดรวมระดับหลายพันล้านดอลลาร์ และพวกเขามักจะถูกขนานนามว่าเป็น leader ของตลาด หรือท็อป 3 บริษัทในหมวดหมู่นั้นๆ หรืออะไรก็ว่าไป”
ลองมาดูกันว่า Bitcoin นั้นเหมาะสมกับชื่อของบลูชิพหรือไม่
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
ขนาดของมูลค่าตลาดรวม
มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin นั้นมีอยู่ที่ราวๆ 68 พันล้านดอลลาร์ (อ้างอิงจาก Coinmarketcapณ ขณะนี้) ซึ่งขนาดของมันนั้นใกล้เคียงกับของตลาดหุ้นที่หลายๆคนรู้จักกันดีอย่างเช่น Caterpillar, FedEx, BlockRock Inc และอื่นๆอีกมาก อันที่จริงแล้ว เมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin น่าจะขึ้นไปอยู่บนอันดับที่ 72 บน S&P 500 หากนับจากขนาดมูลค่าของตลาดมันด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากดูในมุมมองของขนาดแล้ว เช็คลิสในการเป็นหุ้นบลูชิพข้อแรกของมันคือผ่าน
ความยาวนาน
มันเป็นเวลา 8 ปีมาแล้วตั้งแต่ตอนที่ Bitcoin เหรียญแรกถูกขุดขึ้นมา หลายๆคนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองว่ามันจะมาถึงจุดๆนี้ได้ ซึ่งมันก็ถูกเขียนมาหลายๆครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาด Bitcoin นั้นจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเรื่อยๆในทุกๆปี
นักเขียนบล็อกและผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงที่ทำงานที่ Ritholtz Wealth Management นามว่า Joshua M Brown ได้เขียนบนบล็อกของเขาโดยอธิบายว่า “Bitcoin นั้น ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระจริงๆละก็ มันอาจจะตายไปนานแล้วก่อนหน้านี้ แต่ 7 ปีของมันนับตั้งแต่ชื่อเสียงของมันเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก ไม่ว่าจะเรื่องของความผันผวนของตลาดและการนำมันไปใช้ผิดๆในด้านอาชญากร ในตอนนั้นคุณคงจะคิดว่ามันไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวได้หรอก แต่ ณ ขณะนี้มันก็ยังอยู่ แม้ว่าการแฮค การขโมย การรวนของระบบ และการร่วงของราคาอย่างรุนแรง มันก็ยังอยู่ได้”
มีฐานที่มั่นคง
Bitcoin และเหรียญคริปโตตัวอื่นๆนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มเด็กเนิร์ดด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ยังเคยใช้ Blockchain ของ Ethereum ในการช่วยเหลือผู้อพยพชาวซีเรียแล้ว
รวมถึงธนาคารกลางในยุโรปและเอเชียต่างก็ออกมากล่าวว่าพวกเขากำลังไตร่ตรองในการใช้ cryptocurrency เช่นกัน
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
รวมถึง IBM ก็ได้เข้ามาร่วมแจมกับ Nestle, Unilever และ Walmart ก็กำลังร่วมกันต่อสู้อาหารที่เป็นพิษโดยการใช้เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงประเทศไทยของเราที่ก่อนหน้านี้ทางแบงก์ชาติออกมาประกาศเปิดระบบทดสอบ Blockchain บน regulartory sandbox และธนาคารไทยพาณิชย์ที่นำเอา Blockchain ของเหรียญคริปโตอันดับที่ 4 ของโลกอย่าง Ripple มาใช้เพื่อทำระบบโอนเงินระหว่างประเทศกับธนาคารในญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน
ประเทศญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแนวหน้าในการปรับตัวใช้สกุลเงินดิจิตอล โดยเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้ทให้ Bitcoin ถูกกฎหมาย โดยกล่าวว่ามันสามารถที่จะเป็นหนึ่งในวิธีการชำระเงินได้ตามกฎหมายนั่นเอง
ดังนั้น ตลาดเหรียญ cryptocurrency ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ตรงนี้ไปได้อีกนาน และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ใช้งานอีกหลายๆคนหลั่งไหลเข้ามาอีกในอนาคตด้วย
ความผันผวน
ถูกต้องครับ ความผันผวนของ Bitcoin นั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนกระแสหลักส่วนใหญ่กำลังแสดงความเป็นห่วง อย่างไรก็ตามกราฟรายปีด้านบนนั้นแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของราคาที่ลดลงอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเมื่อนักลงทุนกระแสหลักหลายๆคนเริ่มหันมาลงทุนในตัวเหรียญคริปโตแล้ว เมื่อนักลงทุนระดับบริษัทขนาดใหญ่กำลังกระโดดเข้ามาเรื่อยๆนั้น ความผันผวนของราคาอาจจะลดลงอย่างมากในอีกหลายๆไตรมาสที่จะถึงนี้
เช่นกัน หลายๆคนได้ออกมาบอกว่าเงินดิจิตอลนั้นคือฟองสบู่ ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงสำหรับเหรียญดิจิตอลบางตัว แต่อย่างไรก็ตามหากจะกล่าวหามันอย่างเหมารวมนั้นก็คงจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไรนัก
เทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆใช้เวลาค่อนข้างนานที่จะถูกยอมรับ นาย Gordon Scott จาก CMT ได้ออกมาเปรียบเทียบกราฟในช่วงปลายปีแรกของ Amazon กับ Bitcoin และ Ethereum บน Investopedia
ตามที่เห็นด้านบันนั้น กราฟเทคโนโลยีใหม่ๆจะเริ่มเกิดการชันอย่างมากเมื่อผู้คนเริ่มที่จะหันมาปรับตัวใช้มันและมีความเข้าใจถึงความสำคัญของมันแล้ว การที่ราคาของมันพุ่งขึ้นจนเป็นกราฟตั้งชันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นจุดจบของการพุ่งนั้นๆ จริงอยู่ว่า correction ของราคาอาจจะตามมา แต่ท้ายสุดนั้นเทรนด์ใหญ่ก็จะหวนกลับมาตามธรรมชาติ เหมือนๆกับเคสของ Amazon
ถ้าหากลงมาดูกราฟของ Amazon ในวันนี้ ซึ่งราคาหุ้นของ Amazon เมื่อปี 1999 ดูเหมือนจะถูกมากๆ ก็ไม่ต่างกันกับกราฟของ Bitcoin ในช่วงแรกๆ
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
นักลงทุนกระแสหลักเริ่มมาซื้อ Bitcoin แล้วหรือยัง?
ถ้าหากว่า Bitcoin เป็นตัวเลือกในการลงทุนที่ดีขนาดนั้น แล้วนักลงทุนชื่อดังในปัจจุบันได้ซื้อมันไว้บ้างหรือเปล่า?
คำตอบคือใช่
นาย Mike Novogratz หรืออดีตผู้จัดการ hedge fund ณ Fortress Investment Group และหุ้นส่วนของ Goldman Sachs ที่เคยไปอยู่บนลิสของ Forbes เมื่อปี 2008 นั้นได้กล่าวว่าเขาเจียดเอา 10% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาไปลงทุนในตัว cryptocurrency เขายังตั้งชื่อให้มันว่า “การลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา” อีกด้วย
นักลงทุนในตำนานอย่าง Bill Miller ก็ยังได้ลงทุนใน Bitcoin เช่นกัน
และยังมีนักลงทุนอีกมาก ที่ได้เริ่มหันมาลงทุนในตัว Bitcoin เพราะพวกเขาเชื่อว่ามันจะมาเป็นอีกหนึ่งในอนาคตของโลกเรา
การลงทุนนี้ไร้ความเสี่ยงไหม?
ไม่ ก็เหมือนๆกับการลงทุนอื่นๆ ทุกๆการลงทุนมีความเสี่ยงหมด อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความเสี่ยง cryptocurrency นั้นแตกต่างจากการบริหารและจัดการความเสี่ยงแบบการลงทุนในกระแสหลัก
สิ่งสำคัญคือ อย่าไปหลงเชื่อและหันมาลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเพราะคิดว่าจะได้ “เงินเร็ว” สิ่งสำคัญที่สุดคือการวิเคราะห์ การเรียนรู้ และการศึกษาถึงที่มาของเหรียญแต่ละตัว ว่ามันมีเทคโนโลยีที่มาหนุนหลังมันอย่างไร และจะมาปฏิวัติอนาคตได้อย่างไร
และที่สำคัญกว่านั้นคือ อย่าเทหมดหน้าตักของคุณด้วยจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณมีเพื่อมาลงทุนในตัวเหรียญคริปโต แต่ให้เจียดเงินจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถเสียมันได้มาลงทุน
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น