<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“มูลค่าตลาดรวม Bitcoin จะพุ่งไปถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง Standpoint

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ลืม 5,000 ดอลลาร์ไปเลย

ในช่วงนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนออกมาทำนายราคา Bitcoin ในระยะสั้นและรวมถึงเหรียญคริปโตอื่นๆ ทว่านาย Ronnie Moas หรือผู้ก่อตั้งบริษัท Standpoint Research นัันได้ออกมากล่าวว่า cryptocurrency นั้นจะไม่เป็นเพียงแค่เทรนด์ความนิยมในระยะยาว แต่มันจะเป็น asset class ที่สามารถใช้งานได้จริง

อันที่จริงแล้ว เขาถึงกับออกมากล่าวฟันธงว่ามูลค่าตลาดรวมเหรียญ cryptocurrency นั้นจะพุ่งอย่างรุนแรง ซึ่งเขาได้ทำนายว่าตัวเลขนั้นอาจจะไปจาก 150 พันล้านดอลลาร์สู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีที่จะถึง

และรวมถึงในการสัมภาษณ์ล่าสุดนั้น นาย Moas ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของการทำนายของเขา ว่ามันเปลี่ยนจากการวิเคราะห์เชิงเทคนิคไปเป็นการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจและตลาดขนาดใหญ่ได้อย่างไร

โดยในมุมมองของผู้ก่อตั้ง Standpoint ผู้นี้ดูเหมือนว่าจะขัดกับมุมมองของนักวิเคราะห์อย่าง Peter Schiff ที่คาดว่ามันจะเป็นฟองสบู่ และแชร์ลูกโซ่ที่มีต้นกำเนิดมาจากความโลภ

นาย Moas มองเห็นสถานะปัจจุบันของตลาด cryptocurrency ว่าเปรียบเสมือนเป็นตัวคู่ขนานของ Silicon Valley ในช่วงปี 1990 เมื่อกระแสนวัตกรรมได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆออกมามากมาย และได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเราไปตลอดกาล

เขาได้อธิบายว่า

“ผมไม่สนใจว่า Bitcoin มันจะมีมูลค่าสูงกว่า Amazon หรือ Google เมื่อหลายปีมานี้ นักลงทุนหุ้นสองตัวนี้มักจะเอาแต่สนใจเรื่องราคาว่ามันจะพุ่งไปทีละ 100 หรือ 200 ดอลลาร์หรือมากกว่านั้นแค่ไหน แต่วันนี้หุ้นของเจ้าบริษัทสองตัวนี้มีราคามากกว่า 900 ดอลลาร์ คำถามก็คือพวกเราอยู่ตรงไหนกัน จุดๆนั้นมันใช่ตรงที่ๆเรากำลังจะไปหามันไหม ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นฟองสบู่หรอกนะ”

ถนนสู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์

นาย Moas ไปได้ตัวเลข 2 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับมูลค่าลาดรวมของเหรียญ cryptocurrency มาจากไหน

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

ขั้นแรกเขาลองมองภาพรวมตัวเลขของสินทรัพย์ด้านการลงทุนแบบโดยรวมทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 200 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ รวมถึง asset class ใหญ่ๆอย่างเช่นเงินสด, หุ้น, พันธบัตร และทองคำ โดยนาย Moas ผู้ที่ทำงานด้านการวิเคราะห์ equity เป็นประจำอยู่แล้วนั้นได้เริ่มต้นด้วยการนำเอาตลาดหุ้นมาแตกออกเป็นแบบย่อยๆให้เห็นกันชัดๆ ซึ่งเมื่อลองมาดูแล้วเขาเชื่อว่ามันมีมูลค่าสูงมากเกินกว่าปกติ

โดยอ้างอิงจากนาย Moas ตลาด S&P 500 กำลังถูกซื้อขายมากถึง 18 เท่ามากกว่าที่มันควรจะเป็น ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 12 เท่าที่เขาคาดไว้ เขายังกล่าวเพิ่มด้วยว่าตลาดหุ้นนั้นยังไม่มีการเกิด correction มาแล้วเป็นเวลาถึง 20 เดือน

ในส่วนของด้าน forex exchange หรือการแลกเปลี่ยนเงินสดนั้น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังสูญเสียมูลค่าราวๆ 1-2% ต่อปีเนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ นาย Moas ยังชี้ให้เห็นอีกว่าเงินสกุล USD นั้นสูญเสียมูลค่ามาแล้วถึง 50% ตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อ 35 ปีที่แล้ว

จากมุมมองของประเทศอื่นๆทั่วโลก ที่ผู้คนไม่ได้ใช้เงินดอลลาร์กันนั้น นาย Moas เชื่อว่าแนวคิดของ cryptocurrency นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่ามาก

“ตอนนี้ลองจินตนาการดูว่าพวกเขาคิดกันอย่างไรกับสกุลเงินในประเทศของพวกเขา ลองจินตนาการดูว่าตัวคุณเองอาศัยอยู่ในประเทศเวเนซุเอล่าและคุณเอาเงินสดของคุณซ่อนไว้ใต้พรม ผมอยากจะถามว่าคุณจะยังเก็บมันไว้ภายใต้สกุลเงินโบลิวาร์หรือว่าจะเอามาเปลี่ยนเป็น Bitcoin? ผมคิดว่าคุณคงใช้เวลาตัดสินใจไม่นานหรอก”

นาย Moas ยังได้ลองนำเอาทฤษฎีของเขามาแตกแขนงออกอีก โดยเขาเชื่อว่ามีประมาณ 1% ของเม็ดเงิน 200 ล้านล้านทั่วโลกที่ปัจจุบันอยู่ในการลงทุนแบบหุ้น, เงินสด, ทองคำและพันธบัตรนั้น จะถูกย้ายไปลงทุนใน cryptocurrency ในอีกประมาณ 10 ปีให้หลัง

โดยในเคสนั้น เขาได้กล่าวว่า “Bitcoin อาจจะมีมูลค่าตลาดรวมที่สูงกว่า Amazon และ Apple รวมกันเสียอีก”

โดยถ้าหากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นจริง นั่นหมายความว่ามูลค่าตลาดรวมของ cryptocurrency จะเติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

และถ้าหากการทำนายของนาย Moas ถูกต้อง นักลงทุน cryptocurrency ในปัจจุบันอาจจะได้รับกำไรผลตอบแทรประมาณ 1,250% ในอนาคต

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง

ทว่าเขาก็ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงหัวใจหลักสำคัญของการวิเคราะห์ครั้งนี้ โดยบอกว่า “คุณจะต้องลงทุนให้ถูกตัว”

สมมติว่าคุณเชื่อในการวิเคราะห์ของนาย Moas แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณลงทุนเหรียญถูกตัวในตลาดของ cryptocurrency ล่ะ และก็เช่นกันถ้าหากการนำตลาด cryptocurrency มาเปรียบเทียบกับตลาดเทคโนโลยีที่บูมเมื่อปี 1990 นั้น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่ไปลงทุนในตัวเหรียญที่มีจุดจบเหมือนกับบริษัท Pets.com

“หลายๆคนออกมาบอกว่าตลาดมันจะเกิดฟองสบู่ แต่สำหรับผมถ้ามันจะเกิดฟองสบู่จริงๆมันก็คงจะเกิดกับเหรียญที่มีอันดับที่ 50 ลงไป เนื่องจากตอนนี้มันมีมากกว่า 800 เหรียญในตลาด ในความเห็นของผม เหรียญอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ถัดจากท็อป 50 นั้นถือว่าไม่น่าสนใจ”

นาย Moas ได้ชี้ให้เห็นว่าจากตัวเลข 91% ของมูลค่าตลาด 150 ล้านดอลลาร์นั้นถูกลงทุนในตัวเหรียญท็อป 20 และในขณะที่ 70% นั้นถูกนำมาลงทุนใน Bitcoin เท่านั้น

เขาได้แนะนำให้นักลงทุนทำการกระจายความเสี่ยง portfolio ของพวกเขา อีกทั้งยังแนะนำให้ทำการ hedge การลงทุนเฉพาะในตัวเหรียญอันดับท็อป 10 และท็อป 20 เท่านั้น

ในมุมมองของนาย Moas เขากล่าวว่าเหรียญในตลาดทั้งหมดที่มากกว่า 800 เหรียญในปัจจุบันนั้นก็ไม่ต่างจากหุ้น 800 ตัวที่เคยถูกลิสอยู่บน Nasdaq ก่อนการเกิดฟองสบู่ดอทคอมเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ในขณะที่ Amazon และ Apple และ Microsoft นั้นก็ผงาดขึ้นมากลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทว่าก่อนหน้านี้ก็ยังมีอีกหลายๆบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวที่ไปไม่รอด และต้องตายช้าๆอย่างทรมาณ

อ้างอิงจากนาย Moas นั้นเขาอธิบายถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่ามันมีการปั่นราคาแบบ pump and dump เป็นเวลาเล่น ซึ่งก็ไม่ต่างจาก “เหรียญมูลค่าตลาดน้อยๆกากๆ” แบบที่เห็นกันในทุกวันนี้ ซึ่งเขายังแนะนำว่าเหรียญที่น่าลงทุนพวกนี้จะมีการส่งสัญญาณอันดี เช่น dash, ripple, litecoin, monero, bitcoin, ethereum, neo, nem, iota และอื่นๆ

ทว่าเขาก็ยังได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าการลงทุนในตัว cryptocurrency นั้นก็มีความเสี่ยงมาก ผู้ลงทุนควรที่จะศึกษาก่อนให้ดี

ตัวอย่างของตลาดกระทิง

นาย Moas ดูเหมือนจะเชียร์ Bitcoin มากเป็นพิเศษ และมีความมั่นใจในเหรียญอันดับ 1 ตัวนี้มาก โดยเขาเชื่อว่านักลงทุนนั้นควรที่จะซื้อและถือเหรียญของพวกเขาไว้ใน portfolio เป็นเวลาประมาณ 10 ปีหรือมากกว่านั้น

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

เขายังได้ชี้ให้เห็นว่าในขณะนี้มีเหรียญ Bitcoin ที่ถูกสร้างออกมาแล้วถึง 16 ล้านเหรียญจาก 21 ล้านเหรียญที่จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ในอนาคต

โดยในการวิเคราะห์ของเขานั้น เขาได้วิเคราะห์ว่าอาจจะมีผู้คนราวๆ 10 ล้านคนที่พยายามจะหาวิธีกว้านซื้อมันมาราวๆ 2-3 ล้านเหรียญ

เมื่อถามถึงเป้าหมายราคาที่เขากำหนดไว้ นาย Moas สรุปไว้ดังนี้

“เมื่อช่วงเริ่มต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์ ผมเชื่อว่าในอีกเวลา 3 ปีข้างหน้าคุณน่าจะได้เห็นมันที่ราคา 15,000 ดอลลาร์ ไปจนถึง 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งมันจะเพิ่มเป็นสองเท่าจากจุดๆนี้ในอีก 36 เดือนข้างหน้า”

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น