เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เหรียญ Altcoin หลายๆเหรียญได้พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ และมีมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 94,205,900,000 ดอลลาร์
ในเดือนกรกฎาคมนั้น แม้ว่า Bitcoin จะยังแสดงถึงอนาคตที่ไม่แน่นอน ทว่าภายหลัง มูลค่าตลาดรวมของเหรียญราคาดังกล่าวก็อยู่ที่ 45,499,800,000 ดอลลาร์
ภายหลังจากข่าวเรื่อง SegWit นั้น ราคาก็เริ่มที่จะพยุงตัวขึ้น และต้องขอบคุณ Bitcoin Cash ที่ถูกเปิดตัวขึ้นมา ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ altcoin นั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีก 9,716,420,145 ดอลลาร์
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้น การสลับอันดับของเหรียญบนตลาดได้มีการเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
การเกิดขึ้นของ Bitcoin Cash (5.7%) ได้ทำให้เหรียญ Ripple (5.2%) ตกลงมาอยู่อันดับที่ 4 ของกระดานท่ามกลางเหรียญอื่นๆ
ทว่าอันดับที่สองนั้นก็ยังคงกลายเป็น Ethereum ที่ครอบครองตลาดรวมอยู่ที่ 21% ของทั้งหมด
ส่วน Bitcoin นั้นก็ยังควบคุมอยู่ที่ราวๆ 45% แม้ว่าจะมีราคาพุ่งไปถึงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์แล้วก็ตาม
สาเหตุหลักๆของการพุ่งขึ้นนั้นก็เพราะว่ามีเม็ดเงินเป็นจำนวนมากที่ไหลออกมาจากตลาดของเหรียญราชาเข้ามาในตลาด Altcoin จนทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin นั้นร่วงลงอีกครั้ง โดยร่วงลงจาก 89.2 พันล้านดอลลาร์สู่ 77.8 พันล้านดอลลาร์
ในขณะเดียวกันนั้น เหรียญ altcoin ยอดนิยมอย่าง ETH, BCC, XRP, LTC, NEM, DASH นั้นกลับสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากเหรียญ Altcoin ทั้งหมดในตลาดมาได้ถึง 75%
ทว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงวันจันทร์ของสัปดาห์ที่แล้วมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ตลาดเหรียญ cryptocurrency ทั้งตลาดร่วงลงมาเป็นสีแดง ซึ่งนั่นก็คือข่าวการแบน ICO ของธนาคารกลางแห่งประเทศจีน อีกทั้งยังสั่งให้บริษัทสตาร์ทอัพเหล่านั้นคืนเงินให้กับนักลงทุนอีกด้วย
หลังจากนั้นตลาดก็เริ่มที่จะฟื้นตัวภายในสี่วันต่อมา
Ethereum
มีโปรเจค ICO ตัวใหม่เกิดขึ้นมามากมาย ทำให้ Ethereum นั้นเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทมากมาย
การ hard fork ตัวอัพเกรด Metropolis ที่ถูกวางแผนไว้ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2017 นั้นจะมีโค้ดซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดที่ช่วยขยายความสามารถของเครือข่าย Ethereum ให้กว้างขึ้น และยังถือเป็นการปูทางในการติดตั้งอัลกอริทึม proof of stake บนระบบอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ทางทีมนักพัฒนายังมีแผนการนำเอาระบบ zk-SNARKS หรือเครื่องมือด้านการเข้ารหัสจาก zcash ที่จะทำให้การทำธุรกรรมของ Ethereum นั้นมีความไร้ตัวตนโดยสมบูรณ์แบบอีกด้วย
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
Litecoin
เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาของเหรียญดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 0.0099-0.0218 BTC ซึ่งหากดูที่กราฟราคาแล้วจะเห็นได้ว่าสภาพของ Litecoin นั้นอยู่ใน channel ไซด์เวย์อยู่ และก็ได้ขึ้นมายืนอยู่เหนือเส้น MA 200 วันแล้ว ซึ่งในปัจจุบันโวลลุ่มนั้นกำลังมีการซื้อกันมากกว่าการขาย ซึ่งสัญญาณนี้น่าจะถือว่าอีกไม่นานอาจจะมีพลังที่จะพุ่งไปได้ต่อถ้าหากเหรียญ LTC ยังคงตัวอยู่ที่ระดับราคา 0.01368 BTC และเหรือเส้น MA 200 วัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพุ่งขึ้นของเหรียญ Litecoin ก็คือการติดตั้งระบบ SegWit ของเหรียญ Bitcoin ที่จะเป็นตัวปูทางไปสู่การติดตั้งเทคโนโลยี Lightning Network ที่จะส่งผลให้เครือข่ายของเหรียญสองเหรียญ BTC/LTC สามารถทำธุรกรรมข้าม Blockcahin กันได้แบบไม่มีสะดุดอีกด้วย อีกทั้งยังมีเว็บ BitGo ที่ออกมาประกาศว่าจะให้การสนับสนุน Litecoin โดยการนำมาเทรดขึ้นบนกระดานของเว็บดังกล่าว
Ripple
กราฟของเหรียญ Ripple อาจจะดูไม่น่ามองสักเท่าไรนัก แต่การเติบโตเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเกิดจากโวลลุ่มการซื้อขายมหาศาลที่ไหลเข้ามาในตลาด
ซึ่งหลักๆนั้นก็คือนาย Ben Bernanke ที่ประกาศจัดประชุมเกี่ยวกับ Ripple เมื่อไม่นานมานี้ที่สร้างความผิดหวังให้กับผู้ถือเหรียญเป็นอย่างมาก จนทำให้คนแย่งกันเทขาย เนื่องจากพวกเขาให้เหตุผลว่าการออกมา ‘hype’ ของทาง Ripple นั้นไม่น่าตื่นเต้นสักเท่าไร แต่ทว่าโวลลุ่มการซื้อขายบนเว็บเทรดในเกาหลีใต้เริ่มพุ่งสูงขึ้น และก็ยังมีข่าวเรื่องการร่วมมือระหว่าง Ripple และรัฐบาลจีนอีก
ในขณะนี้ มีองค์กรราวๆ 60 องค์กรทั่วโลกที่กำลังจะใช้เหรียญ XRP ซึ่งประกอบไปด้วย Satander, RBC, UBS และ Unicredit
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทาง Ripple ได้ประกาศเปิดตัวสาขาออฟฟิซใหม่ในประเทศอินเดียและทาบทามให้นาย Navin Gupta หรืออดีตผู้บริหารด้านธนาคารที่เต็มไปด้วยประสบการณ์การทำงานใน HSBC และ Citibank มาก่อน มาเป็นประธานของออฟฟิซในอินเดีย และช่วยบริหารงานในประเทศทั้งหมดอีกด้วย
OmiseGO
เหรียญ OMG นั้นมีกราฟด้านเทคนิคที่สวยงามตรงตามตำรา ซึ่งในขณะนี้อัตราความผันผวนนั้นเริ่มที่จะน้อยลงเรื่อยๆ และยังส่งสัญญาณแรงดันที่ยังหลงเหลืออยู่จากคราวที่แล้วที่อาจจะทำจุดสูงสุดที่ใหม่กว่าอีกด้วย หากดูจากกราฟในอดีตนั้น ราคาน่าจะลงไปทดสอบที่ระดับราคาที่ผ่านมา แต่ถ้าหากไม่ทำการทดสอบนั้น ราคาก็จะพุ่งขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ทางทีมของ OmiseGO เคยได้ออกมาประกาศว่าพวกเขานั้นไม่สะทกสะท้านจากการออกมาประกาศการแบน ICO ของรัฐบาลจีนเลยแม้แต่นิดเดียว
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
Monero
เหรียญดังกล่าวก่อนหน้านี้อยู่ในช่วง consolidation มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งหลังจากเดือนสิงหาคมนั้น ราคาของมันก็ได้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
สาเหตุหลักๆก็เป็นเพราะการลิสเหรียญ Monero ขึ้นไปให้บริการเทรดบนเว็บ Bithumb และอีกไม่นานนี้เว็บเทรดสัญชาติโปแลนด์นาม BitBay ก็จะมาสนับสนุนเหรียญดังกล่าวด้วยเช่นกัน
หลังจากการเปิดตัวของระบบ Kobri beta versionที่จะถูกติดตั้งนั้น ผู้ใช้งานจะสามารถทำธุรกรรมแบบมีความเป็นส่วนตัวขึ้นได้โดย I2P anonymity อีกทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มความเป็น decentralized และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญ Monero ในอนาคตนี้ด้วย
ทีมของแฟนๆ Monero ในฮ่องกงได้เปิดตัวเว็บเทรดเหรียญ Monero แบบ P2P ที่จะสามารถช่วยจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายให้โดยอัตโนมัติโดยอ้างอิงจากสถานที่ของทั้งสองฝ่าย
การ hard fork ของ Monero นั้นได้ถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 16 กันยายนนี้ และ Ledger Wallet นั้นก็เริ่มที่จะรองรับเหรียญดังกล่าวนี้แล้วด้วย
Stratis
เหรียญดังกล่าวได้มีการตกลงมาอยู่ใน channel ตามที่ระบุไว้ ซึ่งราคามีการตกลงมาถึงระดับที่ 0.0013BTC และนั่นคือเส้นแนวรับตัวสำคัญ โดยในขณะนี้เหรียญดังกล่าวถูกซื้อขายอยู่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนัก ในขณะนี้มันมีสัญญาณการ consolidation ที่ช่วงบนของเส้น channel แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณแรงดันออกมาสักเท่าไรนัก
ทว่าถ้าหากเกิดการพุ่งขึ้นของราคาขึ้นมาจริงๆนั้น ราคาก็มีโอกาสจะพุ่งไปแตะจุดที่ 0.005 BTC ได้
เหรียญ Stratis นั้นถือเป็นโปรเจคที่ยังใหม่อยู่ แต่กระนั้นดูเหมือนว่ามันก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ถือเหรียญได้ในอนาคต
พวกเขาวางแผนที่จะเข้าตลาดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 อ้างอิงจากโรดแมพ แต่พวกเขาก็ได้เลื่อนการเปิดตัวกระเป๋าสำหรับเหรียญดังกล่าว ที่ถูกวางแผนไว้เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น