<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

มุ่งสู่ 6,000 ดอลลาร์? ราคา Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 5,600 ดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

มันเป็นเรื่องที่ใครๆก็กำลังรู้กันดีว่าชั่วโมงนี้ ราชาแห่งเหรียญ cryptocurrency หรือ Bitcoin หรือต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และเหรียญ altcoin บนกระดานทั้งปวงนั้นได้มีราคาที่เหวี่ยงขึ้นทะลุเพดาน ATH (all-time high) หรือจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เก่าที่ 5,000 ดอลลาร์ไปเมื่อวานเรียบร้อยแล้ว และในขณะนี้อยู่ที่ 5,602 ดอลลาร์ และยังดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

คำถามที่ตามมาคือ มันจะไปสุดที่ตรงไหน? ผมจะ cash out ได้หรือยัง?

บางทีนี่อาจเป็นเรื่องที่ตอบยากสำหรับใครหลายๆคน เนื่องมาจากธรรมชาติของ cryptocurrency ที่มีความผันผวนไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่นการพุ่งขึ้นของราคาที่วันเดียวมีมากกว่า 20% นั้น ในตลาดการลงทุนอื่นๆอาจเป็นราวกับฝัน แต่สำหรับ Bitcoin ถือเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีนักลงทุน cryptocurrency ชาวไทยมืออาชีพคนหนึ่งชื่อว่าคุณยุทธวิธี หรือผู้ก่อตั้ง Crypyto Trading Club ที่ได้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ว่าจะพุ่งขึ้นถึง 6,000 ดอลลาร์หลังจากที่ร่วงลงไป 3,000 ดอลลาร์จากเหตุการณ์หลายๆปัจจัยเมื่อเดือนที่แล้ว

“ไม่มีใครสามารถบอกอนาคตได้ล่วงหน้าถูกต้องได้ 100% ถ้าทำได้เช่นนั้น ผมเองก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว แต่สิ่งที่พวกเราทำได้คือใช้ข้อมูลพวกนี้วางแผนล่วงหน้า เพื่อสร้างความได้เปรียบในการซื้อขาย เพื่อได้มาซึ่งกำไร”

เขียนโดยคุณยุทธวิธี ซึ่งราคาของ Bitcoin ในขณะนั้นอยู่ที่ 3,341 ดอลลาร์ อีกทั้งก่อนหน้านี้เขายังทำนายราคาอย่างแม่นยำมาถึงสองครั้งว่าจะไปที่ 5,000 ดอลลาร์ และจะร่วงลงมาถึง 3,000-3,500 ดอลลาร์ ซึ่งก็เกิดขึ้นไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนักลงทุนชื่อดังอีกคนหนึ่งจาก Wall Street นามว่า Thomas Lee หรือในอีกชื่อหนึ่งที่ใครๆก็เรียกเขาว่า “นักลงทุนสายหมี” เนื่องจากว่าเขามักจะวิเคราะห์ราคาหุ้นส่วนใหญ่ให้เป็นลบ แต่สำหรับ Bitcoin นั้นเขาได้ออกมากล่าวเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเดือนสิงหาคมว่าราคาของมันจะพุ่งไปถึง 6,000 ดอลลาร์ อีกทั้งยังบอกช่วงเวลาว่ามันจะเกิดขึ้นภายในปีนี้อีกด้วย

“เราได้เห็นการเพิ่มขึ้นของราคา BITCOIN จากการสนุบสนุนของสถาบันการเงิน, การพัฒนาระบบการใช้จ่ายเงิน และท้ายสุด การรับรู้ถึงศักยภาพของ BITCOIN ที่ทำให้มีผู้คนหันมาใช่มันมากขึ้น”

กล่าวโดยนาย Lee

ปัจจัยเสริมด้านอื่น

ปัจจัยเสริมหลักๆนั้นก็คงหนีไม่พ้นการ hard fork ของเหรียญดังกล่าว ที่แต่ก่อนผู้คนเคยมีความเชื่อว่าความไม่แน่นอนดังกล่าวจะมาทำลายระบบ ecosystem ของ Bitcoin จนส่งผลให้ผู้คนแย่งกันเทขาย

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

ปัญหาการ scaling ของ Bitcoin นั้นคือการที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Bitcoin กันมากขึ้น จนส่งผลทำให้เครือข่าย Blockchain ดังกล่าวเกิดอาการ “คอขวด” ที่บางครั้งการทำธุรกรรมล่าช้ามากๆ อีกทั้งยังทำให้ค่าธรรมเนียมนักขุดนั้นสูงขึ้นอย่างไม่จำเป็น ทางทีมนักพัฒนา Bitcoin Core Developer จึงได้มีแนวคิดที่จะเขียนโค้ดตัวใหม่นามว่า SegWit เพื่อมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทว่ากลุ่มนักขุดที่แบ่งข้างออกเป็นอีกเสียงหนึ่งเชื่อว่าการเพิ่มขนาดบล็อกเก็บข้อมูลบน Blockchain จาก 1MB ต่อบล็อกให้เป็น 2MB นั้นจะแก้ไขปัญหานี้ได้ จึงได้เกิดเป็นแนวคิด SegWit2x ขึ้นมา

ทว่ามันก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก เนื่องจากนักพัฒนา Core มองว่าการเพิ่มขนาดบล็อกดังกล่าวจะส่งผลทำให้ผู้ที่เปิดรัน node (ซอฟต์แวร์ Bitcoin Core Wallet ที่จะเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมแบบเต็มๆตั้งแต่เริ่มต้น Bitcoin ยันปัจจุบัน) ต้องลำบากหาหน่วยเก็บข้อมูล HDD มาใส่เพิ่ม และต้นทุนสำหรับผู้ที่อยากจะรัน node ด้วยความสมัครใจก็จะสูงขึ้นตาม และมันจะทำลายความเป็น decentralized ของระบบโดยรวมลงไป แต่ทางกลุ่มนักขุดเชื่อว่าการเพิ่มขนาดบล็อกคือการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ SegWit2x สำหรับพวกเขานั้นจะมีการ hard fork เกิดขึ้นในเดือนหน้านี้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านมากมายจากทีมนักพัฒนาและผู้ใช้งาน Bitcoin ก็ตาม

สาเหตุหลักๆที่ผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นสูงขนาดนี้เป็นเพราะว่าผู้คนที่เคยกลัวการ hard fork นั้นเปลี่ยนแนวคิดและกลับมา “ชอบมัน” โดยหยิบเอากรณีตัวอย่างของ Bitcoin Cash ที่ผู้ที่ถือ Bitcoin ก่อนการ hard fork นั้นจะได้เหรียญ fork ใหม่มาแบบฟรีๆในปริมาณที่เท่ากับ Bitcoin และสามารถนำไปขายทอดตลาดได้แบบฟรีๆไม่มีต้นทุน (ในกรณีนี้คือ SegWit2x และ Bitcoin Gold)

เมื่อเป็นดังนั้น ผู้คนจึงแห่ละทิ้งเหรียญ altcoin อื่นๆที่พวกเขาถือ และกลับมาสู่เหรียญสามัญดั้งเดิมอย่าง Bitcoin โดยหากดูกราฟส่วนแบ่งการตลาดโวลลุ่มของตลาดโดยรวมของ Coinmarketcap แล้วนั้นจะพบว่าผู้คนทยอยขายเหรียญอื่นๆเพื่อมาซื้อ Bitcoin โดยในขณะนี้มูลค่าตลาดรวมของมันคิดเป็น 56.2% ของทั้งหมด หรืออยู่ที่ 95.9 พันล้านดอลลาร์

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนนั้น คำพูดหนึ่งที่ใช้ได้ไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือ “อย่า all-in” และ “ใช้เงินเย็นเข้าซื้อ อย่าใช้เงินร้อน” ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนสายคริปโตมืออาชีพหลายๆคนนั้นทราบกันดีและจำได้ขึ้นใจ

หมายเหตุ: การลงทุนในตัวเหรียญคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ทางสยามบล็อกเชนจะไม่รับผิดชอบในความสูญเสียในทุกกรณี

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น