<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

3 เว็บยักษ์ใหญ่จะกลายเป็นรูปแบบ Decentralized บนระบบ Blockchain

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เว็บไซต์ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเรา และเหตุนี้เองบริษัททางด้านออนไลน์จึงเติบโตขึ้นราวกับเสาหินขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงสิ่งที่เราชอบต่าง ๆ ได้ เช่น เพลงภาพยนตร์และการช้อปปิ้ง เทคโนโลยี Blockchain จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของแต่ละคนอาจได้รับการปรับปรุงอย่างมากแน่นอนด้วยระบบ Decentralized

ในปัจจุบันเว็บไซต์และฐานข้อมูลยังเป็นในรูปแบบของบริษัทหรือองค์กรอยู่ แต่ถ้าเว็บไซต์เหล่านี้กลายเป็นรูปแบบของ Decentralized ฐานข้อมูลจะไม่ได้อยู่ที่ผู้สร้างเว็บไซต์แล้ว จะกลายไปอยู่กับ Community ของเว็บไซต์เหล่านั้น และ Community ก็จะสามารถสร้างรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกันไปเป็นจำนวนมากตามฐานข้อมูลที่มี

ถ้าเว็บไซต์เหล่านี้เป็นระบบ Decentralized ตั้งแต่เริ่มเปิดเว็บ ลองนึกภาพดูว่าคุณสามารถมี Social Media ตัวแรกของคุณที่ชื่อว่า Frienster ในปี 2003 หลังจากนั้นเมื่อ MySpace เปิดตัว คุณไม่ต้องไปสร้าง Profile ใหม่แล้ว เพียงคุณให้ Permission กับทาง MySpace เพื่อที่จะให้เข้าถึงสิ่งที่คุณเคยได้ทำไว้แล้วในเว็บ Friendster ได้เลย เหมือนกับ Facebook นั่นแหละ

และข้อดีเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นผู้ครอบครองตลาด Dot-Com หรือไม่?

ผู้ประกอบการและนักลงทุนรายต่าง ๆ ที่มีเงินลงทุนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมหรือในปัจจุบันที่เรียกว่า การระดมทุน ICO ก็กำลังทำการเดิมพันกับมันไว้เรียบร้อยแล้ว

และการระดมทุน ICO ไม่ใช่แค่มีกลไกสำหรับบริษัท Start Up ด้านระบบ Blockchain เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำหรับผู้ใช้งานที่จะสามารถตอบโต้กับเครือข่าย Blockchain เหล่านี้ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่เรียกว่า “Web 3.0” และตอนนี้ก็กำลังเติบโตด้วย

และสามเว็บด้านล่างต่อไปนี้ ทางบริษัท Start Up ด้านระบบ Blockchain ก็เริ่มที่จะมีเป้าหมายที่จะเข้ามาเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดโดยการใช้ Crypto Token นั่นเอง

ขจัด eBay ทิ้ง?

หลายคนจินตนาการว่าการที่โฟกัสตลาดที่ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกัน (Marketplace) โดยการขขายสินค้าประเภทเดียวจะเป็นการมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น แต่ eBay ได้มีรูปแบบเว็บไซต์ของการมีสินค้าที่หลากหลายซึ่งเป็นการพิสูจน์แล้วว่าความคิดแรกนั้นผิด ปรากฎว่าเป็นการดีกว่าที่จะขายหนังสือการ์ตูนในเว็บที่จำหน่ายชิ้นส่วนจักรยานด้วยเนื่องจากอาจมีใครบางคนมาหาซื้อก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการจดจำเว็บไซต์เพียงหนึ่งเว็บไซต์เดียว ในการซื้อของนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายกว่ามาก

แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดผู้ขายในการเสนอขายสินค้าตัวอื่นบนเว็บไซต์เฉพาะและเว็บไซต์ทั่วไปอย่าง eBay ได้ ทาง eBay ก็ต้องใช้ Software ที่มีความซับซ้อนเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าชิ้นเดียวกันนั้นจะไม่ถูกขายเป็นครั้งที่สองและ eBay ก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นง่ายด้วย

แต่ถ้าผู้บริโภคมีทั้งสองอย่างแล้วล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังสือการ์ตูนอยู่ในฐานข้อมูลเดียวกับสินค้าอื่น ๆ ทั้งหมด แต่อาจมีการสร้างเว็บไซต์ที่แตกต่างกันไปด้วยข้อมูลนั้นหรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้รายชื่ออาจปรากฏในตลาดที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากสินค้าใดถูกขายแล้วในเว็บหนึ่งเว็บที่เหลือก็จะขึ้นว่าขายแล้วเช่นกัน

นั้นอาจเป็นไปได้ตามที่นาย Gee Chuang ซีอีโอของ Listia สร้างตลาดที่อัพเกรดจาก eBay ด้วยการใช้ระบบของ Decentralized ซึ่งถูกเรียกว่า Ink Protocol โดยเขากล่าวว่า:

“วิสัยทัศน์ของบริษัท Ink Protocol คือการเป็นตลาดร้านค้าแบบ Decentralized ที่ใช้ระบบ Peer-to-Peer โดยที่ไม่มีบริษัทมาเป็นตัวกลางในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งผู้ซื้อผู้ขายจะเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมดดังนั้นมูลค่าที่มากขึ้นก็จะถูกแจกจ่ายไปยังผู้ใช้งานจริง”

นาย Chuang กล่าวถึงประโยชน์ของตลาดแบบ Decentralized ว่า “ผู้ขายในตลาดแบบ Decentralized นี้มีอิสระในการที่จะเลือกใช้ Platform ที่เขาชอบ ที่ไหนก็ได้และเวลาใดก็ได้ ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังสามารถนำชื่อเสียงที่พวกเขาได้นั้นติดตัวเขาในทุกที่ที่เขาไป”

เลิกดู YouTube

Youtube คือเว็บอันดับหนึ่งของโลกในการแชร์และค้นหาวีดีโอ

แม้ว่าเว็บไซต์นี้ได้สร้างเส้นทางอาชีพใหม่สำหรับผู้สร้างเนื้อหาแล้วก็ตาม แต่ความตึงเครียดระหว่างผู้สร้างและผู้ดูแลระบบส่วนกลางเหล่านั้นก็ยังคงร้อนระอุอยู่เช่นกัน

ผู้สร้างเนื้อหาบน Youtube ก็กำลังประสบกับการลดส่วนแบ่งทางรายได้ของ Youtube โดยใช้ระบบอัตโนมัติในการดึงโฆษณาจากวีดีโอของตน แต่หากพวกเขามีการสงสัยว่าวีดีโอนั้นมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือไม่เหมาะสมรายได้ก็จะลดลง ผู้ใช้ยังมีการบ่นว่ามีโฆษณามากไปบนเว็บไซต์

บริษัท Start Up ยุคใหม่เชื่อว่าระบบ Decentralized จะทำให้แพลตฟอร์มของพวกเขาสามรถสร้างเนื้อหาและสามารถโต้ตอบผู้ชมได้โดยตรงโดยใช้ Token ของ Cryptocurrency และในขณะเดียวกันผู้ใช้จะได้ตัวเลือกที่มากขึ้นในการสร้างรายได้ พวกเขาสามารถดูโฆษณา ให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือแม้แต่การมีส่วนร่วมในการประมวลผลของตนเพื่อการทำงานของระบบ

นาย Adrian Garelik CEO ของ Flixxo กล่าวว่า “Bittorrent ซึ่งมีผู้ใช้กว่า 250 ล้านคนทั่วโลกได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถส่งเนื้อหาที่มีคุณภาพดีในลักษณะ Decentralized และยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจด้วย” Flixxo คือแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอที่เป็นระบบ Decentralized ที่ปิดการขาย Token ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

อ้างอิงตามผู้สร้าง Flixxo ผู้ใช้แพลตฟอร์มสามารถแชร์ไฟล์แบบ Peer-to-Peer และต้องใช้ระบบการชำระเงินแบบ Peer-to-Peer ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้แพลตฟอร์มมีประโยชน์มากขึ้น และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่แชร์กันในกลุ่มบริษัท Start Up ที่ใช้ระบบ Blockchain ที่กำลังมองหาการแชร์กันด้วยระบบ Decentralized รวมไปถึงการ Stream, Theta และ Livepeer และแต่ละอันก็ Token เป็นของตนเอง

ทำลาย Apple Music

คุณอาจต้องใช้เวลานานหลายปีในการซื้อและดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดที่ทำให้หัวใจของคุณเต้นเร็วเมื่อคุณอยู่ที่โรงยิมหรือทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นหลังจากวันที่ยาวนานของการทำงาน ซึ่งอาจเป็น Soundtrack ที่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตของคุณ

และรสนิยมของคุณในการฟังเพลงเหล่านี้มีความสำคัญต่อบริษัท Apple ซึ่งเป็นผู้ควบคุมตลาดเพลงออนไลน์ เนื่องจากผู้ฟังจะได้มีส่วนร่วมในตลาดของ Apple Music พวกเขาได้สร้างทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองโดยการสร้างเพลย์ลิสต์ติดตามศิลปินและตั้งค่าสถานะเพลงโปรดของพวกเขา

และข้อมูลดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ Marketplace สามารถที่จะติดตามและควบคุมได้จนทำให้ผู้ใช้ ไม่สามารถไปใช้บริการของตัวอื่นได้

อ้างอิงจากนาย Jesse Grushack จากบริษัท Ujo ผู้ให้บริการฟังเพลงด้วยระบบ Blockchain กล่าวว่า:

“เรากำลังถูกขังอยู่ในระบบแบบ Centralized เหล่านี้ ซึ่งยังถูกควบคุมโดยยักษ์ใหญ่จากองค์กร”

แม้กระทั่งวงการเพลงทั่วไปก็เห็นประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ระบบ Blockchain และ Cryptocurrency อย่างเช่นนักร้องชาวไอซ์แลนด์ Bjork ที่ประกาศในเดือนพฤศจิกายนเมื่อปี 2017 ว่าเธอจะยอมรับการชำระเงินแบบ Cryptocurrency สำหรับการซื้ออัลบั้มที่ 4 ของเธอ และอดีตผู้บริหาร Universal Music Group ได้ระดมทุน 1.2 ล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคมในปี 2017 สำหรับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการสิทธิ์เพลงที่เรียกว่า Blokur ซึ่งใช้ Blockchainโดยใช้แพลตฟอร์ม Ethereum ในการใช้งาน

ขณะนี้แม้ว่า บริษัท จะมุ่งเน้นไปที่แนวคิด “ป้ายแฟนคลับแบบพกพา” (portable fan badge) โดย Token ที่เหมือนกับเครื่องมือในการเชื่อมโยงข้อมูลเฉพาะตัวกับข้อมูล ดังนั้นแฟนเพลงของคุณก็สามารถถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี แนวเพลงที่ชื่นชอบ ประเภทของตลาดเพลงได้ และด้วยวิธีนี้ทางนาย Grushack กล่าวว่านักดนตรีจริง ๆ จะได้รู้ว่าใครเป็นแฟนคลับของพวกเขา แล้วก็สามารถทำการตลาดโดยสามารถยิงเนื้อหาใหม่ ๆ ได้โดยตรงกับแฟนคลับได้เลย

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น