เครือข่ายของ Bitcoin ได้ทำการ halving โดยเสร็จสมบูรณ์แล้วที่บล็อก 630,000 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 พฤษภาคม 2020 ตอนเวลาตีสอง 23 นาที (เวลาไทย) และผู้ที่ขุด Block ดังกล่าวไปได้ก็คือ Antpool โดยจากนี้ต่อไปเราได้เข้าสู่ยุคการจ่ายรางวัลยุคที่ 4 ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการแล้ว
การ Halving ครั้งที่ 3
Bitcoin นั้นมาไกลมากแล้ว โดยมันมีอายุอยู่ที่ 11 ปี 4 เดือนหากนับตั้งแต่วันเกิดของมันครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 ที่เป็นการเริ่มต้นการจ่ายรางวัลยุคที่ 1 ในตอนนั้น
โดยมันได้ผ่านการ halving ที่จะมีขึ้นในทุก ๆ 4 ปีมาแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3
ทุก ๆ ครั้งที่เกิดการ halving นั้น อัตราเงินเฟ้อของมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อการเกิด Bitcoin บนระบบ Blockchain นั้นจะถูกลดลง 50% โดยเริ่มแรกสุดนั้นมี Bitcoin เกิดใหม่ต่อบล็อก (บล็อกใหม่เกิดขึ้นเฉลี่ยต่อ 10 นาที) อยู่ที่ 50 BTC หลังจากนั้นการเกิด halving ครั้งแรกเมื่อปี 2012 ทำให้มันลดลงเหลือแค่ 25 BTC, ครั้งที่สองเมื่อปี 2016 ลดลงเหลือแค่ 12.5 BTC และครั้งล่าสุดในวันนี้เหลือแค่ 6.25 BTC ดังนั้นนั่นหมายความว่านับแต่นี้ต่อไปจนกระทั่งปี 2024 นั้น จะมี Bitcoin ที่เกิดใหม่ต่อวันอยู่ที่ราว ๆ 900 BTC เท่านั้น
นี่จึงถูกเรียกว่ายุคการจ่ายรางวัลยุคที่ 4 หลังจากการ Halving ครั้งที่ 3 ที่ทำให้นักขุด Bitcoin นั้นต้องค้นพบว่าพวกเขาสามารถที่จะหา Bitcoin ได้ยากมากขึ้นไปอีก
ความคาดหวังในด้านราคา
จากสถิติของการ Halving ที่ผ่านมาในทุก ๆ ปีนั้น หากดูที่กราฟด้านล่างจะพบว่าราคา Bitcoin มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า supply shock หรือแปลเป็นไทยก็คือการขาดแคลนอุปทานที่หายากมากขึ้น สวนทางกับอุปสงค์ที่มีสูงขึ้น จึงส่งผลทำให้ราคาของมันแพงมากขึ้น
แม้คนทั่วไปที่ยังไม่เคยศึกษา Bitcoin จะตั้งคำถามว่ามูลค่าที่แท้จริงของเจ้าเหรียญดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ตัวนี้อยู่ตรงไหน มันมีไว้แค่เก็งกำไรอย่างเดียวหรือไม่ แต่หากลองสังเกตดูให้ดีแล้วจะค้นพบว่ากรณีการใช้งานจริงส่วนใหญ่ของมันนั้นอันดับต้น ๆ เลยก็คือการใช้เพื่อโอนเงินระหว่างประเทศที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ทำให้มันมีความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ส่วนกรณีใช้งานอื่น ๆ ที่เราเริ่มเห็นกันมากขึ้นในขณะนี้ก็คือในด้านการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) สำหรับประชาชนในหลาย ๆ ประเทศท่ามกลางวิกฤตโลก และการพิมพ์เงินของธนาคารกลางทั่วโลกแบบไร้ขีดจำกัด
อาจกล่าวได้ว่าการควบคุมระบบเงินเฟ้อของ Bitcoin ที่ถูกจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญนั้นทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาพึ่งพามันมากขึ้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินสดถึงคราวเกิดวิกฤตเงินเฟ้อเมื่อไร Bitcoin นั้นก็จะยิ่งมีมูลค่าสวนทางมากขึ้นเท่านั้น
นาย Tim Draper มหาเศรษฐีพันล้านได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อปลายปี 2018 แล้วว่าราคา Bitcoin หลังการ Halving ครั้งที่ 3 นี้อาจพุ่งแตะ 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านบาทต่อ 1 BTC ได้ในปี 2022 นี้ และจากนั้นมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงมั่นใจในคำทำนายของเขาอย่างหนักแน่น
นอกจากนี้นาย Sonny Singh หรือ CCO ของบริษัทด้านการชำระเงินด้วยคริปโตระดับโลก BitPay ได้กล่าวว่าราคาราคาของ Bitcoin นั้นมีโอกาสพุ่งทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 20,000 ดอลลาร์ได้ภายในปีนี้ ซึ่งจุดสูงสุดดังกล่าวนั้นถือเป็นจุดที่ราคา Bitcoin เคยทำไว้ได้เมื่อตอนปลายปี 2017 หรือประมาณ 1 ปีกว่าหลังการ halving ครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม กราฟราคาด้านบนนั้นยังเผยให้เห็นว่าราคา Bitcoin ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเชิงบวกในทันทีหลังจากการ halving แต่ต้องใช้เวลาถึง 1 ปีให้หลัง ราคาถึงจะทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2012-2013 และ 2016-2017 ดังนั้นหากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เราอาจะได้เห็นการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันในปีหน้านี้
ความคาดหวังในด้านอื่น ๆ
นอกเหนือจากในด้านราคาแล้ว การที่มีผู้คนหันมาให้ความสนใจในตัวมันมากขึ้นนั้นอาจหมายถึงการเข้ามาในวงการของคนหน้าใหม่ ๆ และเข้ามาสรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้วงการมีของดี ๆ มากขึ้น
เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา เราอาจไม่ได้เห็นการเข้ามาในตลาดของบริษัทใหญ่ ๆ มากมายนัก แต่หลังจากปี 2017 เป็นต้นไป เราได้เห็นบริษัทด้าน Blockchain เป็นจำนวนมากผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด รวมถึงความตื่นตัวของรัฐบาลทั่วโลกในการออกกฎเกณฑ์เพื่อมากำกับเหรียญคริปโตเหล่านี้
นอกจากนี้เรายังได้เห็นการเข้ามาลงทุนในตัวสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นจากบริษัทกองทุนยักษ์ใหญ่ทั่วโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ เรายังคาดหวังให้ชุมชนนักพัฒนาผลักดันการพัฒนาเหรียญคริปโตที่มีอยู่แล้วให้ใช้งานง่ายมากขึ้น เพื่อที่จะให้มันดึงดูดผู้คนใหม่ ๆ ให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น รวมถึงสามารถที่จะรองรับจำนวนผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ที่สำคัญ เรายังได้เห็นการออกมาประกาศเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางและรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งนั่นรวมถึงประเทศไทยด้วนั่นเอง โดยหลังจากการ halving นี้แล้ว สิ่งที่เราคาดหวังกันก็คงจะไม่พ้นการนำเอาเหรียญคริปโตที่ถูกสร้างโดยธนาคารกลาง (CBDC) ที่กำลังถูกทดสอบอยู่ในขณะนี้มาเปิดใช้งานจริง และสามารถที่จะแทนที่เงินสดได้ในอนาคต สิ่งนี้จะทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศหากันได้สะดวกมากขึ้น รวดเร็วมากขึ้นแบบไร้รอยต่อ แต่ก็ต้องรอดูกันต่อไป
การ Halving ครั้งต่อไป
ยุคการจ่ายรางวัลครั้งที่ 4 ของ Bitcoin นี้จะกินเวลาจากบล็อกที่ 630,000 บนเครือข่ายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบล็อกที่ 840,000 ซึ่งจะตรงกับช่วงปี 2024 นี้พอดี โดยในตอนนั้นจะถือเป็นการจ่ายรางวัลในยุคที่ 5
ซึ่งครั้งต่อไปนั้นการเกิด Bitcoin ต่อบล็อกใหม่นั้นจะเหลืออยู่แค่ 3.125 BTC เท่านั้น ทำให้มันหายากมากขึ้นไปอีก
แม้ว่าอนาคตจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่หากเราลองดูจากสถิติในครั้งที่ผ่าน ๆ มาหลังจากการ halving แล้วจะพบว่ามันไม่มีครั้งไหนเลยที่ราคา Bitcoin ร่วงทำจุดต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่กลับกัน มันได้ทำสิ่งตรงกันข้ามจากที่กล่าวมา
ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่เชื่อมั่นในอนาคตของสินทรัพย์ดังกล่าว มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรหากจะซื้อเก็บไว้สักเล็กน้อยแบบสนุก ๆ แล้วก็ลืมมันไป จากนั้นค่อยกลับมาดูอีกทีในปีสองปีข้างหน้าว่าราคามันกลายเป็นเท่าไรแล้ว แต่จงจำไว้ว่า คุณไม่ควรซื้อมาเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว มิฉะนั้นอาจต้องเครียด หรือมีโอกาสเสียเงินสูงได้