<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 ตัวแปรสำคัญที่อาจหนุนให้ราคา Bitcoin พุ่งทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เก่าที่ $20,000 ในปีหน้า

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาราคา Bitcoin ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ $16,000 ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังว่าในปีหน้านี้เราจะได้เห็นราคา Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดเก่าในประวัติศาสตร์ที่เคยทำไว้เมื่อปี 2017 ที่ $20,000 

จากปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลโดยตรงต่อราคา Bitcoin ทาง Siam Blockchain จะพาไปส่อง 4 ตัวแปรสำคัญที่อาจเป็นชนวนที่ทำให้ราคา Bitcoin ไปถึงหรือทะลุระดับดังกล่าวได้ 

การขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ของ Joe Biden

สืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากพรรคเดโมแครตของนาย Joe Biden ที่เสนอร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าการกระตุ้นในรอบที่ 2 นี้จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเป็นจำนวนมาก ส่งผลทำให้ผู้คนกังวลว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเฟ้อและมีมูลค่าที่ลดลง รวมไปถึงเกิดการกระตุ้นในกลุ่มนักลงทุนให้หันมาสนใจทรัพย์สินทางเลือกอย่างอื่นเช่น Bitcoin

ขณะที่มุมมองส่วนตัวของนาย Joe Biden ที่มีต่อ Bitcoin หรือตลาดคริปโตนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจนเท่าไหร่ แม้จะไม่มีการออกมาสนับสนุนหรือปฏิเสธอย่างชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในอนาคตอาจได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลนายไบเดน ซึ่งแตกต่างจากนาย Donald Trump ที่ยืนกรานชัดเจนว่าตัวเขานั้นไม่ชอบสกุลเงินดิจิทัลนี้

ซึ่งสมาชิกส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมรัฐบาลกับนาย Joe Biden นั้นมีท่าทีที่ค่อนข้างเป็นบวกต่อวงการคริปโตไม่ว่าจะเป็น Gary Gensler อดีตประธานหน่วยงาน CFTC ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีและคาดหวังจะเห็นคริปโตในวงการการเงิน หรือนาย Andrew Yang ผู้ที่ประกาศตัวชัดเจนในการสนับสนุนคริปโตอาจมีโอกาสที่จะผลักดันวงการคริปโตในรัฐบาลยุคของ Joe Biden ก็เป็นได้

การกระโดดเข้ามาของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในตลาด Bitcoin

การเดินหน้าเข้ามายังตลาด Bitcoin อย่างต่อเนื่องของสถาบันยักษ์ใหญ่ทั้งหลายอาทิ Visa, MicroStrategy หรือแม้กระทั่งล่าสุด PayPal ที่เพิ่งจะทำการซื้อ Bitcoin เพิ่มเมื่อเร็ว ๆ นี้ และยังประกาศนำ Cryptocurrency เข้ามาใช้ในแพลตฟอร์มของตัวเองในการทำธุรกรรม ฝาก ถอน โอน รวมไปถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถเก็บไว้ใน Wallet ของ PayPal เอง โดยจะเริ่มเปิดใช้บริการเต็มตัวในปีหน้า

ซึ่งการที่ PayPal เปิดให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลจะส่งผลให้ผู้ใช้งานจำนวนกว่า 350 ล้านบัญชีเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดคริปโต และเชื่อกันว่าจำนวนผู้ใช้งานที่มากขนาดนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันเป็นอย่างมาก มูลค่าของตลาดเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลดีต่อราคา Bitcoin

นับเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในสกุลดิจิทัลของ PayPal และสถาบันยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ของโลกที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบการเงินการลงทุนแบบเก่า ๆ ให้ทันกับโลกดิจิทัลยุคใหม่ ส่งผลให้ตลาด Bitcoin เติบโตอย่างต่อเนื่องจากเม็ดเงินที่หลังไหลเข้ามาไม่หยุด เมื่อความต้องการในตัว Bitcoin มากยิ่งขึ้นแต่อุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัด อาจทำให้ราคาของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่รีรอ 

เหรียญ CBDC ของธนาคารกลาง

ปัจจุบันเริ่มมีการผลักดันสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางในหลายประเทศซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกกลายมาเป็นสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เหรียญคริปโตต่าง ๆ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินนอกเหนือจากเหรียญของธนาคารกลางที่เป็น Stable Coin

โดยล่าสุด ประเทศที่ดูเหมือนจะนำเพื่อนไปไกลแล้วอย่างจีน ก็ได้เปิด “ ดิจิทัลหยวน” ให้ใช้งานไปแล้วใน 4 มณฑลใหญ่อย่างเซินเจิ้น ซูโจว เฉิงตู และเขตพัฒนาพิเศษสงอัน อีกทั้งยังได้มีการทดลองใช้งานในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Wechat, Starbucks และ Alipay

ย้อนกลับมาดูความคืบหน้าในบ้านเราอย่างโปรเจค “อินทนนท์” ซึ่งต้องบอกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มศึกษาและพัฒนามาตั้งแต่ปี 2561 และอยู่ในช่วงเฟส 3 ในขณะนี้ โดยในเฟสนี้ได้มีการทดลองการโอนเงินระหว่างประเทศแบบเรียลไทม์สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ซึ่งแน่นอนว่าจะดึงดูดผู้คนจากภายนอกเป็นจำนวนมากให้เข้ามาสนใจในระบบบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัลอย่างแน่นอนและคนนอกที่ไม่เคยเข้ามาในวงการคริปโตมาก่อนอาจให้ความสนใจคริปโตผ่าน CBDC ของธนาคารกลาง คงต้องติดตามกันต่อว่าในอนาคตจะออกมาในรูปแบบใด

การ Halving ครั้งที่ 3

ปัจจัยสุดท้ายที่เป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากก็คือเหตุการณ์หลังจากการ Halving ครั้งล่าสุดนี้ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่นักเทรดคริปโตต่างเฝ้ารอกันมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเหตุการณ์หลังการ Halving ครั้งก่อนในปี 2016 ได้สร้างประวัติการณ์ทำจุดสูงสุดที่ $19,783 ในหนึ่งปีให้หลัง ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างคาดการในรูปแบบเดียวกันสำหรับการพุ่งทะลุจุดสูงสุดเดิมในปีหน้า 2021 ที่จะถึงนี้

สืบเนื่องจากหลังการ Halving รางวัลที่ได้รับจากการขุดจะลดลงครึ่งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ลดลงจาก 12.5 BTC ต่อหนึ่งบล็อก เหลือเพียงแค่ 6.25 BTC ต่อหนึ่งบล็อก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มูลค่าของ Bitcoin จะขึ้นสวนทางอย่างรุนแรงกันกับอุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งเมื่อมูลค่าของมันสูงขึ้น จึงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั้งหลายที่จะเข้ามากอบโกยผลกำไรจากตลาด Bitcoin แห่งนี้

ซึ่ง 4 ตัวแปรสำคัญที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มูลค่าของ Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดเดิมตลอดการของตัวเองหรือไม่ ความคาดหวังของนักลงทุนและนักวิเคราะห์จะเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด แต่ที่แน่ ๆ กระแสในตัว Bitcoin ได้พุ่งสูงขึ้นให้เป็นที่รู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว