<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ธนาคารยักษ์ใหญ่ JP Morgan กล่าวการอัพเกรดของ Ethereum อาจสร้างตลาด Staking มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Jamie Dimon ซีอีโอของ JP Morgan ดูเหมือนว่าจะถูกงานวิจัยจากบริษัทของตัวเองโต้แย้งคำกล่าวของเขาอีกครั้ง เมื่อล่าสุดนั้นงานวิจัยดังกล่าวเผยว่าเทคนิคการตรวจสอบธุรกรรมบน blockchain แบบใหม่ที่เรียกว่า staking นั้นจะได้รับความนิยมอย่างมาก และอาจจะดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบันเข้ามาได้อย่างมหาศาล

ปัจจุบัน บล็อกเชนของ bitcoin และ ethereum ใช้กระบวนการตรวจสอบธุรกรรมที่เรียกว่า proof-of-work เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมทั้งหมดบนเครือข่ายนั้นถูกต้องและบันทึกการกระจายของเครือข่ายนั้นถูกต้อง แต่การที่จะสร้างระบบที่กินไฟน้อยกว่า และสามารถ scale ได้มากกว่านั้น ทางทีมนักพัฒนาของ Ethereum ได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปใช้ระบบที่ชื่อว่า proof-of-stake ที่ผู้ตรวจสอบธุรกรรมนั้นจะต้องทำการล็อคเงินของพวกเขาไว้ใน blockchain เพื่อที่จะได้เหรียญคริปโตเป็นการตอบแทน

ปัจจุบันการ Stake วันนี้สร้างรายได้ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในอุตสาหกรรม crypto โดยมีการคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนไปใช้ proof-of-stake ของ ethereum หลังจากการเปิดตัว ethereum 2.0 ที่รอกันมานานในปีหน้านี้ จะกระตุ้นให้เกิดการยอมรับกลไกฉันทามติทางเลือกตัวนี้มากขึ้น และอาจทำให้การจ่ายเงินเพื่อ stake เพิ่มขึ้นถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสหลังการเปิดตัว Ethereum 2.0 และ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2568

“การ Stake ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือ cryptocurrencies เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ แต่ในหลาย ๆ กรณี cryptocurrency จะจ่ายผลตอบแทนที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญ” อ้างอิงจากรายของ JP Morgan ปัจจุบันการ stake เหรียญ cryptocurrency เช่น SOL หรือ BNB สามารถให้ผู้ stake ได้รับผลตอบแทนตั้งแต่ 4% ถึงสูงถึง 10% ต่อปีตามข้อมูลจาก stakingrewards.com ตัวอย่างเช่น บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโต Winklevoss Gemini ปัจจุบันโฆษณาให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 7.4% จากยอดคงเหลือในคริปโตในบัญชีของพวกเขา รายงานยังระบุด้วยว่าในขณะที่ความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัลลดลง จะส่งผลทำให้การ staking นั้นได้รับความนิยมมากขึ้นตาม

ผู้เขียนรายงานคาดการณ์ว่าการ Stake จะกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่สำหรับเว็บเทรด cryptocurrency เช่น Coinbase โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ Ethereum 2.0 จะถูกพัฒนาให้แล้วเสร็จในปี 2022 รายงานคาดการณ์ว่าการ Stake จะทำให้ Coinbase สร้างรายได้ถึง 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10.4 ล้านดอลลาร์ในปี 2563

J.P. Morgan เข้าสู่ตลาด crypto มาตั้งแต่ปี 2018 ผ่าน Blockchain Center of Excellence ในปี 2019 ธนาคารได้เปิดตัว Stablecoin ของตัวเองซึ่งเป็นตัวแทนของดอลลาร์สหรัฐโดยมีชื่อว่า JPMCoin ในเดือนมีนาคม J.P. Morgan ได้เริ่มเสนอขาย Bitcoin ให้กับลูกค้า

“ผลตอบแทนที่ได้รับจากการ stake สามารถลดต้นทุนค่าเสียโอกาสของการเป็นเจ้าของ cryptocurrencies เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่น ๆ ในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรสหรัฐ หรือกองทุนตลาดเงินที่การลงทุนสร้างผลตอบแทนเล็กน้อย” อ้างอิงจากรายงาน “ในความเป็นจริง ในสภาพแวดล้อมที่เป็นศูนย์ในปัจจุบัน เรามองว่าผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจในการลงทุน”

ปัจจุบันมูลค่าตลาดของเหรียญ token ที่ใช้ proof of stake นั้นมีมากกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ตามรายงาน โดยมีการคาดการณ์ว่าความสามารถในการใช้สินทรัพย์ crypto เพื่อรับผลตอบแทนจากการ stake จะทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นประเภทสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น และอาจช่วยให้การยอมรับ cryptocurrency นั้นมีมากขึ้น เดิม Ethereum 2.0 คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมกราคม 2020 แต่ก็มีการเลื่อนมาเรื่อยๆ เพราะปัญหาทางเทคนิค และตอนนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2022

อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่เป็นไปได้ในการรับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอผ่านการ stake เหรียญ cryptocurrencies นั้นขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาด ตัวอย่างเช่น Solana คู่แข่งของ ethereum ให้นักลงทุนใช้สกุลเงินดิจิทัล SOL ไป stake เพื่อรับเหรียญ SOL ใหม่ หากมูลค่าของโทเค็น SOL ลดลง ก็จะไม่มีกำไรที่แท้จริง สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกนำไป stake เมื่อตลาดคริปโตเติบโตเต็มที่และความผันผวนลดลง การ stake ก็จะกลายเป็นแหล่งรายได้ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

ข้อกังวลเพิ่มเติมจากรายงานคืออัตราเงินเฟ้อที่มีอยู่ในระบบที่สร้างโทเค็นใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อมีผู้คนเข้าร่วมในระบบ Stake มากขึ้น ก็จะมีคนมาช่วยหารรางวัลการ Stake มากขึ้น ทำให้การ stake นั้นได้รับรางวัลน้อยลงไปอีก หากไม่มีกลไกการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เข้มงวด จากตัวอย่าง SOL ก่อนหน้านี้ ทีมพัฒนา Solana ได้ออกตารางอัตราเงินเฟ้อที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความกังวลเหล่านี้ และกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อระยะยาวที่ 1.5%

ที่มา Forbes