เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รายการ Business Tomorrow ได้แชร์คลิปวิดีโอสัมภาษณ์คุณโฉลก สัมพันธารักษ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ลุงโฉลก” นักลงทุนและวิทยากรด้านการลงทุนชื่อดังของไทย โดยภายในคลิป ลุงโฉลกได้ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับทิศทางราคา Bitcoin (BTC) ในปัจจุบัน
เป้าหมายราคา New high ของ Bitcoin ในมุมมองของลุงโฉลก
เมื่อผู้ดำเนินรายการตั้งคำถามกับคุณลุงโฉลกว่า คุณลุงมองว่าราคา Bitcoin มันไปได้ถึงเท่าไหร่ในปีนี้ จะทะลุ All Time High เดิมเลยไหมคะ ซึ่งทางลุงโฉลกได้ตอบคำถามกลับไปว่า
“สำหรับนักลงทุนที่ตามลุงมา จะรู้ว่าลุง bullish ถึงล้านดอลลาร์ก็ได้ พูดมานานแล้วนะว่า bullish มาก แล้วการซื้อ Bitcoin นี่ซื้อไปเถอะ เท่าไหร่ก็ซื้อเถอะ มีเงินเมื่อไหร่ก็เก็บ ไม่ได้เป็นการเกร็งกำไรแต่เป็นการเก็บเงิน แทนที่จะเก็บเป็นเงินบาท ซึ่งเสื่อมค่าตลอดเวลา หรือเป็นเงินดอลลาร์เสื่อมค่าตลอดเวลา พวกนักลงทุนใหญ่ ๆ เขาไม่เก็บเงินกันหรอกครับ”
“สังเกตว่ามหาเศรษฐีของเมืองไทย เขาไปลงทุนในอย่างอื่นคือ ไม่มีใครเขาเก็บเงินกันหรอกครับ เพราะเงินมันด้อยค่าลงตลอดเวลา เขาไปเก็บเป็นที่ดิน เกือบล้านไร่ ส่วนที่ไม่เปิดเผยเลยคือ ทองคำ และนอกจากนั้นส่วนที่ไม่เปิดเผยเลยคือ bitcoin อีกเยอะแยะ เพราะฉะนั้น เราจะเก็บเงินดอลลาร์ทำไม มันพัง มันไปไม่รอด
สมมติเรามีเงิน ในบัญชีตอนนี้แสนล้านดอลลาร์ เราจะทำยังไง ถ้าเงินดอลลาร์มันพังพินาศ เงินบาทก็เสื่อมค่าลง หากเก็บเป็นทองคำก็ขนไปไม่ได้ เหลืออันเดียวคือ bitcoin เราจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ก็แค่จำรหัสเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น Bitcoin ลุงถึง bullish มาก พวกมหาเศรษฐียังไงก็ต้องเปลี่ยนเป็น Bitcoin ”
“และปัจจุบันนี้ Blackrock เขาก็ขอ ETF bitcoin เรียบร้อยแล้ว คนก็เริ่มเข้ามาซื้อ bitcoin กันมากมายทันทีเลย เราก็ดู Bitcoin วันนี้ ที่ราคามันขึ้นจาก 40,000 ดอลลาร์ ขึ้นไป 53,000 ดอลลาร์ แปปเดียวเองเดือนนึงมันขึ้นหมื่นกว่าดอลลาร์”
แล้วลุงก็บอกเมื่อต้นปีว่า “ให้เลิกเล่น SET ให้ถือ Bitcoin แทน เมื่อต้นปี 2023 ที่ลุงแนะนำ bitcoin ตอนนั้นราคา Bitcoin มัน 17,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ราคา bitcoin 54,000 ดอลลาร์ กำไรไม่รู้เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นเป็นนักบริหารแล้วสลับ asset จากหุ้นมาเป็น bitcoin อย่าง ดร. นิเวศถือไว้ 3 ทศวรรษ 30 ปี อย่างลุงขอสั้น ๆ ขอซักปี 2 ปีก่อน ปี 2 ปีก็ได้แล้วกำไร ไม่รู้กี่ 100 % แล้วหน่วยลงทุนที่เขารับจ้างเอาเงินเราไปลงทุนสู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการลงทุนคือการลงทุน ระยะยาว ไม่ใช่การเล่นการพนัน”
“เพราะฉะนั้น Bitcoin ลุง bullish มาตลอด และถึงวันนี้ก็ยัง bullish อยู่และมันใกล้จะทำ New high ละ ซึ่ง New high มันอยู่ตรงนี้ 69,000 ดอลลาร์ ประมาณนะฮะ ใกล้ละ ลุงคิดว่า bitcoin ไปถึงราคานี้แน่นอน แล้วจะไปได้อีกเยอะแยะเลย ปีนี้นะลุงคิดว่าได้เห็นเป็นแสนแน่ครับ ได้เห็นเป็นแสนปีนี้ ไปอีกเยอะฮะ Bitcoin ไปอีกเยอะ”
“เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมี Bitcoin จะมีเท่าไหร่ก็เท่ากับความรู้ที่คุณมีนั่นแหละ ถ้าคุณไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยซัก 100 บาทก็ได้นะ ซื้อ bitcoin เอาไว้”
เมื่อผู้ดำเนินรายการตั้งคำถามกับคุณลุงโฉลกต่อว่า “ช่วงที่ย่อก่อนหน้านี้ 17,000 20,000 เข้าไม่ทัน พอเห็นราคาตอนนี้รู้สึกว่า สูงเกินไปหรือเปล่า แต่พอคุณลุงมาบอกว่าปีนี้มีสิทธิ์ทะลุแสนเท่ากับว่า 50,000 นี่เพิ่งเริ่มต้นใช่ไหมคะ”
ซึ่งทางลุงโฉลกได้ตอบคำถามดังกล่าวกลับไปว่า “โดยลักษณะของ ชาร์ต ก็เป็นอย่างงั้นนะฮะ คิดว่าจะไปอีกไกล”
มุมมองต่อเหรียญอื่น ๆ ที่นอกจาก bitcoin
ลุงโฉลกได้แสดงมุมมองต่อเหรียญอื่น ๆ ที่นอกจาก bitcoin มีวิธีการเข้าซื้ออย่างไร โดยกล่าวว่า “อะไรก็ตามที่ มันขึ้นไปถึงพีค แล้วมันลงมา 70-80% ซื้อได้หมดอะครับ หาจังหวะสิครับ”
ลุงโฉลกกล่าวว่า “หากราคาขึ้นไปถึงพีค แล้วลดลงมา 70-80% พอเขียวแรกก็ซื้อไป วิธีก็คือเขียนโปรแกรมคร่าว ๆ ลุงจะหาสัญญาณซื้อ ก็หาทางเข้า เอาลิสต์ต่ำ ๆ รีวอร์ดสูง ๆ เป็นวิธีเล่น เพราะฉะนั้น altcoin ต่าง ๆ นา ๆ มีเต็มไปหมด วิธีก็เข้าไปเปิดดูทุกตัว ทีละตัว ๆ หรือถ้าเขียนโปรแกรมเป็นก็เขียนให้มันหาให้เราก็ได้ ให้มันสกรีนให้เรา”
“เลือกภาพใหญ่ มันขึ้นไปพีคแล้วลงมาต่ำ ตรงที่ต่ำ เราก็หาจุดเข้าซื้อ Wave 1, 2 พอเขียวปั๊ป ก็เข้าซื้อตรงนี้ จุด stop lost นิดเดียวเอง รีวอร์ดเบ้อเร่อเลย แค่นี้เองครับ ไม่มีอะไร”
สุดท้าย ลุงกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ตัวไหนมันเข้าแพทเทิร์นที่เราต้องการ เราเอาตัวนั้นแหละ ตอนนี้เป็นโอกาสของนักลงทุนที่ไปสแกนหา altcoin มีเยอะแยะเลย แต่ว่าจริง ๆ ไม่ต้องไปสแกนหาหรอก ดู Bitcoin ตัวเดียวก็พอแล้ว เล่นตัวเดียวก็พอแล้ว ก็กำไรไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ถ้าตัวนี้ยังตกรถ ตัวใหม่คุณก็ตกรถอีก เพราะฉะนั้นเอาตัวนี้ตัวเดียว แต่ทำให้มันเป็นไปตามระบบให้ได้ อย่าตกรถ อย่าขายหมู”
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ที่มา : Business Tomorrow