ปี 2024 ถือเป็นครั้งที่ 4 ของการ Halving ของ Bitcoin ซึ่งนอกจากจะเป็นเหตุการณ์สำคัญในตัวมันเองแล้ว ยังถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ (Bull Run) ที่นักเทรดเชื่อว่ามักจะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี และในครั้งนี้กระแสตลาดก็เริ่มส่งสัญญาณชัดเจน เมื่อราคา Bitcoin ขยับเข้าใกล้ $100,000 เข้ามาทุกที
ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาย้อนดูว่า ตลอด 4 วัฏจักรที่ผ่านมา อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ Bitcoin พุ่งทะยาน และอะไรเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ตลาดลุกเป็นไฟ
2013-2014 : Bull Run ครั้งแรก
ปัจจัยขาขึ้น
ย้อนกลับไปใน Bull Run ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2013 หรือ 4 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัว Bitcoin ซึ่งในครั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ Bitcoin เข้าสู่ตลาดกระทิงเป็นผลมาจากการที่สื่อเริ่มให้ความสนใจใน Bitcoin มากขึ้นประกอบกับวิกฤตการเงินในประเทศเล็ก ๆ อย่าง ไซปรัส ทำให้คนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง Bitcoin
ในครั้งนั้นราคา Bitcoin เดิมเคยมีการซื้อขายกันที่ $140 ในช่วงกลางปี แต่พอถึงสิ้นปีราคาของมันกลับพุ่งทะยานไปถึง $1,200 หรือคิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น +730% เลยทีเดียว
ชนวนขาลง
สำหรับขาขึ้นครั้งแรกของ Bitcoin เรียกได้ว่าอยู่ได้ไม่นานนักเพราะหลังจากผ่านพ้นช่วงสิ้นปี 2013 ก็เกิดเหตุการณ์เขย่าโลกอย่างการแฮ็ก Mt.Gox เว็บเทรดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น ส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงดิ่งลงอย่างมหาศาลเนื่องจากนักเทรดเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวสินทรัพย์ จนทำให้ราคาของมันดิ่งร่วงลงมาเหลืออยู่ที่ต่ำกว่า $300 คิดเป็น -75% จากราคาสูงสุด ส่งผลให้เกิดฤดูหนาวอันยาวนาน (ตลาดหมี) เป็นครั้งแรกของวงการคริปโต
2017-2018 : ยุคทอง ICO
ปัจจัยขาขึ้น
เมื่อวันเวลาผ่านไป Bitcoin ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาจนทำราคา $1,000 ได้สำเร็จ ในช่วงต้นปี แต่ขาขึ้นรอบนี้ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับอุตสาหกรรมคริปโต จนส่งผลให้ราคา Bitcoin ไปได้สูงถึง $20,000 ด้วยระยะเวลาเพียง 11 เดือน คิดเป็นกำไรเติบโตกว่า +1,900%
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าในปี 2017 เป็นยุคทองของการ ICO ที่โปรเจกต์ใหม่ ๆ เปิดให้คนระดมทุนกันมากมาย จนทำให้นักลงทุนและสื่อเริ่มหันมาสนใจ Bitcoin อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นักลงทุนสามารถเข้าถึงคริปโตได้มากขึ้น เพราะในตอนนั้นมีเว็บเทรดชื่อดังมากมายเปิดให้บริการกันในหลากหลายประเทศ
ชนวนขาลง
เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง เพราะวันหนึ่งฟองสบู่ของ ICO ก็เกิดแตกขึ้นมาสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ประกอบกับการที่ประเทศจีนได้ออกคำสั่งแบนคริปโตในประเทศ ส่งผลทำให้ตลาดคริปโตแทบจะอกแตกตายด้วยราคา Bitcoin ที่ลงร่วงหนักกว่ารอบที่แล้วและไปถึง -84% โดยมีการเทรดกันอยู่ในจุดต่ำสุดที่ $3,200
2020-2022 : ตำนาน DeFi กับตัวร้าย NFT
ปัจจัยขาขึ้น
ถัดมากับ Bull Run ครั้งที่ 3 ที่คนไทยน่าจะรู้จักกันดีที่สุด โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 2020 ที่ได้เกิดหายนะ Covid ขึ้นทั่วโลก นั่นทำให้เศรษฐกิจถดถอยกันอย่างหนัก และบริษัทต่าง ๆ ก็ต้องปรับตัว จึงทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายมาเป็นทางออกของปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้บริษัทดังอย่าง MicroStrategy และอื่น ๆ ได้เริ่มหันมาสนใจ Bitcoin มากขึ้นส่งผลให้มีเงินทุนมหาศาลไหลเข้ามายังตลาดแห่งนี้
และในช่วงปี 2021 นี้เองก็ได้มีการถือกำเนิดขึ้นของวงการ DeFi และ NFT ที่ไม่ว่าใครก็สามารถหาเงินได้อย่างง่าย ๆ จนทำให้นักลงทุนรายย่อยต้องตาลุกวาว ไม่ว่าจะเป็น การกินกำไรผ่านแพลตฟอร์ม DeFi หรือการเล่นเกม NFT กันอย่างบ้าคลั่ง รวมไปถึงการมาของ Metaverse ส่งผลให้ในครั้งนี้ตลาดคริปโตได้เติบโตขึ้นอย่างมากและแผ่ขยายไปสู่ฐานนักลงทุนระดับสถาบัน ซึ่งเดิมที Bitcoin มีการซื้อขายกันอยู่ที่ $8,000 ช่วงเดือนมกราคม 2020 กลับเติบโตได้ถึง +700% โดยทำราคาสูงสุดที่ $64,000 ในเดือนเมษายน 2021
ชนวนขาลง
ในครั้งนี้สาเหตุที่ทำให้เกิดขาลงคือ ระเบิดลูกใหญ่ของ Terra (LUNA) ที่เกิดวิกฤติการเทขายเหรียญ โดยมันส่งผลทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้ธุรกิจคริปโตล้มกันระนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าใหญ่อย่าง FTX ที่ไม่มีใครจะคิดว่าเว็บเทรดนี้จะล้ม มากไปกว่านั้นเคราะห์กรรมยังไม่จบสิ้นทางหน่วยงานต่าง ๆ เช่น SEC ก็ได้เริ่มออกมาฟ้องร้องโปรเจกต์คริปโตมากขึ้น เป็นผลให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม ทำให้ Bitcoin ร่วงลงไปถึงระดับ $16,000 ในปี 2022 หรือคิดเป็น -75%
2024-2025 : ขาใหญ่ลงสนาม
กลับมาที่ขาขึ้นในปัจจุบันกันบ้าง โดยในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นปีที “ประหลาดที่สุดของ Bitcoin” เพราะมันสามารถทุบสถิติราคาสูงสุดเดิมได้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ $67,000 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คริปโตพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้ สามารถย้อนรอยไปได้ถึงตอนที่ Cointelegraph สำนักข่าวชื่อดังได้เผยความเป็นไปได้ของการอนุมัติ Bitcoin ETFs ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนระดับสถาบันนำเงินเข้ามายังอุตสาหกรรมคริปโต โดยแม้ว่าในตอนแรกข้อมูลที่เผยออกมาจะผิดพลาด แต่นักลงทุนกลับไม่คิดเช่นนั้น และดันราคา Bitcoin ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง SEC ได้อนุมัติ Bitcoin ETFs ขึ้นมาจริง ๆ ในช่วงเดือนมกราคม ตามมาด้วย Ethereum ETFs ในช่วงกลางปี
และในปีนี้ยังตรงกับปีเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งเปิดเผยว่าอยู่ฝ่ายสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี และมีความต้องการให้สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมนี้ ส่งผลให้ทั่วทั้งโลกต้องจับตามองการเคลื่อนไหวของเขาและเริ่มให้ความสำคัญกับ Bitcoin มากขึ้น เป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านจากเงินของนักลทุนรายย่อย เป็นเงินของนักลงทุนสถาบัน และอาจจะเป็นเงินทุนของรัฐบาล หาก Bitcoin Resereve เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตามตลาดขาขึ้นรอบนี้คาดว่าจะไปได้ถึงช่วง Q2-Q3 ของปี 2025 ส่วนชนวนเหตุที่จะทำให้เกิดขาลงในครั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมาจากอะไร
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงและอาจเสียเงินได้ทั้งจำนวน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้พร้อมก่อนเริ่มการลงทุน