เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามข้อเสนอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการฉ้อโกงทางออนไลน์
สำหรับกฎหมายใหม่จะประกอบไปด้วยสาระสำคัญ 5 ประการ แต่หนึ่งในนั้นจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานคริปโตอย่างรุนแรง เพราะรัฐบาลจะประกาศให้การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างบุคคล (P2P) ถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย ส่วนข้อกฎหมายอื่น ๆ จะประกอบไปด้วย
- การปฏิเสธการเปิดบัญชีแก่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
- เพิ่มหน้าที่ให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทันที
- เพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีม้าไปยัง ปปง. เพื่อเร่งคืนเงินผู้เสียหาย
- แพลตฟอร์มและธนาคารต้องรับผิดชอบหากไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีที่กระทำผิด
- เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้หากรัฐบาลประกาศให้การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างบุคคล (P2P) เป็นการกระทำผิดกฎหมายจริง เทรดเดอร์คริปโตที่ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Binance อาจได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากฟีเจอร์ P2P ของ Binance เปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายเหรียญกันเองโดยไม่ผ่านตัวกลาง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย
กฎหมายดังกล่าวจะทำให้ทุกธุรกรรม P2P ถูกจัดว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ที่ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Binance, Bybit, OKX หรือแม้แต่ช่องทางโซเชียลต่าง ๆ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมาย นอกจากนี้ ธนาคารและแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาจถูกบังคับให้ตรวจสอบและระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน
นาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เชื่อว่าการออก พ.ร.ก. จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญร่วมกับมาตรการอื่นๆ ในการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเมื่อ ครม. เห็นชอบแล้ว และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน จะประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ที่มา : The Standard