ในขณะที่ Ethereum กำลังจะครบรอบ 10 ปี บริษัทบล็อกเชนยักษ์ใหญ่อย่าง Consensys ได้เสนอแนวคิดใหม่ในการนิยามบทบาทของเครือข่ายนี้ในระบบเศรษฐกิจโลกว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับยุค ‘Trustware'” โดยมองว่า Ethereum กำลังวิวัฒนาการจากแค่แพลตฟอร์มสำหรับ Smart Contract ไปสู่การเป็นรากฐานของ “ความไว้วางใจ” ที่สามารถตรวจสอบและตั้งโปรแกรมได้ในระบบการเงินและอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งแนวคิดนี้อาจผลักดันให้ความต้องการ Ether (ETH) เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
Consensys อธิบายว่า ในทุกๆ ปี เศรษฐกิจโลกต้องใช้จ่ายเงินกว่า 9.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปกับ “โครงสร้างพื้นฐานด้านความไว้วางใจ” แบบดั้งเดิม เช่น ระบบกฎหมาย, ผู้ตรวจสอบบัญชี, การกำกับดูแล และคนกลางต่างๆ แต่ยุคดิจิทัลได้สร้างความไว้วางใจในรูปแบบใหม่ที่ไร้พรมแดน, โปร่งใส และบังคับใช้ด้วยโค้ด ซึ่งทำให้คนแปลกหน้าสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้อย่างมั่นใจด้วยความแน่นอนทางคณิตศาสตร์ และสิ่งนี้คือสิ่งที่ Consensys เรียกว่า “Trustware”
Jason Linehan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Consensys กล่าวกับ Cointelegraph ว่า “‘Trustware’ คือวิธีใหม่ในการพูดถึงคุณค่าอันมหาศาลที่ Ethereum ได้สร้างให้กับเศรษฐกิจตลอด 10 ปีที่ผ่านมา”
เพื่อประเมินมูลค่าของ Ethereum ในฐานะ Trustware ทาง Consensys ได้นำเสนอโมเดลที่เรียกว่า “Cost-to-Corrupt” (ต้นทุนในการโจมตีเครือข่าย) ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า ยิ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจถูกสร้างและรักษาความปลอดภัยอยู่บนเครือข่าย Ethereum มากเท่าไหร่ ราคาของเหรียญ ETH ก็จำเป็นต้องสูงขึ้นเท่านั้น เพื่อทำให้ต้นทุนในการโจมตีเครือข่ายสูงจนไม่คุ้มค่า ด้วยโมเดลนี้ Consensys คาดการณ์ว่าราคา ETH อาจพุ่งไปถึง 4,900 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2025 และแตะระดับ 15,800 ดอลลาร์ภายในปี 2028 โดย Jason Linehan ระบุว่าตัวเลขคาดการณ์นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ค่อนข้างระมัดระวัง คือมีมูลค่า Stablecoin บนเชน 1 ล้านล้านดอลลาร์, สินทรัพย์ในโลกจริง (RWA) 5 แสนล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าล็อกในระบบ DeFi (TVL) ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2028

ปัจจุบัน Ethereum ยังคงครองความเป็นเจ้าในฐานะโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างชัดเจน โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคมระบุว่า Ethereum ได้รักษาความปลอดภัยให้กับสินทรัพย์สภาพคล่องคุณภาพสูง (HQLA) บนเชนเป็นมูลค่าถึง 220 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Solana (20.3 พันล้านดอลลาร์) และ Avalanche (3.7 พันล้านดอลลาร์) อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยประวัติศาสตร์การอัปเกรดเครือข่ายมาแล้ว 21 ครั้ง และการเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมสำคัญอย่าง Smart Contract, NFT, DeFi และ DAO ประกอบกับโครงสร้างที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Validator กว่า 1,056,000 รายใน 84 ประเทศ ทำให้ Ethereum ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับนักลงทุนสถาบันที่ต้องจัดการกับเงินทุนมหาศาล “อนาคตจะไม่เหมือนอดีต มันจะเป็นเศรษฐกิจในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และ Ethereum คือสิ่งที่ทำให้มันเป็นไปได้” Jason Linehan กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: cointelegraph

