<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นักวิจัยเตือน ! Bitcoin และ Ethereum ยังไม่พร้อมรับมือกับควอนตัมคอมพิวเตอร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รายงานฉบับใหม่จาก Mysten Labs เตือนว่า แม้บล็อกเชนรุ่นใหม่ๆ จะเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากควอนตัมคอมพิวเตอร์แล้ว แต่เครือข่ายเก่าแก่อย่าง Bitcoin และ Ethereum ยังคงมีความเสี่ยงสูง และอาจล้าหลังในด้านความปลอดภัย เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมมีความก้าวหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า บล็อกเชนที่ใช้ระบบลายเซ็นดิจิทัลแบบ EdDSA อย่าง Solana, Sui และ Near มีโครงสร้างที่พร้อมรับมือภัยคุกคามจากควอนตัมได้ดีกว่า ขณะที่เครือข่ายเก่าอย่าง Bitcoin และ Ethereum ที่ยังใช้ระบบ ECDSA ต้องเผชิญกับอุปสรรคเชิงเทคนิคและเชิงโครงสร้างมากกว่า ในการปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบเข้ารหัสแบบใหม่ที่ปลอดภัยจากควอนตัม

Kostas Chalkias ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านการเข้ารหัสของ Mysten Labs ระบุว่า ความกดดันในการรองรับมาตรฐานความปลอดภัยหลังยุคควอนตัม (post-quantum) กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลและบริษัทต่างๆ เริ่มหันมาถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง

Kostas Chalkias กล่าวว่า “รัฐบาลทั่วโลกทราบดีถึงความเสี่ยงของควอนตัม หลายหน่วยงานได้ออกคำสั่งให้เลิกใช้ ECDSA และ RSA ภายในปี 2030 – 2035” 

Kostas Chalkias ยังกล่าวเสริมว่า หากบล็อกเชนใดต้องการได้รับความไว้วางใจในระยะยาวจากภาครัฐ หรือกองทุน ETF ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่เหล่านี้

EdDSA ถือเป็นระบบลายเซ็นดิจิทัลยุคใหม่ที่ทำงานได้เร็วกว่าและปลอดภัยกว่า ส่วน ECDSA ยังมีจุดอ่อนด้านการสร้างเลขสุ่มที่ไม่ดี การใช้ nonce ซ้ำ และการรั่วไหลของข้อมูลผ่าน side-channel 

ขณะที่ Bitcoin และ Ethereum ยังพึ่งพา ECDSA เป็นกลไกหลักในการยืนยันธุรกรรม ทำให้มีความเสี่ยงที่จะโดน “แฮ็ก” หากคอมพิวเตอร์ควอนตัมมีพลังประมวลผลมากพอในอนาคต

Kostas Chalkias  เตือนว่า ควอนตัมคอมพิวเตอร์ ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการเข้ารหัส หากเทคโนโลยีพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง 

ภัยจากควอนตัม เกิดจากความสามารถของมันในการใช้ Shor’s Algorithm เพื่อถอดรหัสตัวเลขจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่า จะสามารถ “ย้อนรอย”ถอดรหัส Private key จาก public blockchain data บนบล็อกเชนได้

“แม้ผู้ใช้จะยังคงถือ Private key ของ Bitcoin หรือ Ethereum ไว้ แต่ก็อาจไม่สามารถสร้างหลักฐานการเป็นเจ้าของที่ปลอดภัยจากควอนตัมได้ เนื่องจากความปลอดภัยขึ้นอยู่กับวิธีการสร้างคีย์นั้นๆ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องเคยรั่วไหลไปมากน้อยแค่ไหนในอดีต”

แม้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ จะยังไม่สามารถโจมตีในลักษณะดังกล่าวได้ในวันนี้ แต่ Ahmed Banafa ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย San Jose State เตือนว่า “ ตอนนี้คือเวลาที่ควรเริ่มเตรียมตัว Bitcoin อาจต้องทำ Hard Fork เพื่อรองรับระบบเข้ารหัสแบบใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น การเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋า การย้ายเหรียญ และการบริหารจัดการความซับซ้อนของระบบ”

Ahmed Banafa ตั้งข้อสังเกตว่า โอกาสที่ชุมชน Bitcoin จะยอมรับการทำ Hard Fork เพื่ออัปเกรดนั้นค่อนข้างต่ำ โดยเขาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในปี 2015 ที่ชุมชน Ethereum แตกออกเป็น Ethereum และ Ethereum Classic จากกรณีการแฮก DAO (Decentralized Autonomous Organization)

อีกหนึ่งความท้าทายคือ จำนวนกระเป๋า Bitcoin และ Ethereum ที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งหมายความว่า การบังคับอัปเกรดจะไม่สามารถทำได้ง่าย หากผู้ใช้ไม่อัปเกรดหรือปกป้องบัญชีของตน ก็อาจทำให้เครือข่ายตกอยู่ในความเสี่ยง และถ้าเกิดการสูญเสียสินทรัพย์ 

“ถ้ามีคนเสียเงินจากการไม่อัปเกรด พวกเขาอาจโทษว่าเป็นความผิดของระบบทั้งหมด”

Ahmed Banafa กล่าวทิ้งท้ายว่า เราไม่ควรโทษการตัดสินใจในอดีต เพราะในปี 2009 ที่ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นนั้น คอมพิวเตอร์ควอนตัมยังเป็นแค่แนวคิดเท่านั้น และแม้แต่ในปี 2019 ก็ยังมีความเชื่อว่า SHA-256 นั้นแข็งแกร่งพอที่จะต้านการแฮกได้หลายปี โดยไม่มีใครคาดคิดว่าเทคโนโลยีควอนตัมจะก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้

ที่มา  : decrypt