ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านคริปโต DataDash นาย Nicholas Merten ได้ออกมาเผยถึงลิสต์ 10 เหรียญ Cryptocurrency ที่เขาแนะนำให้ผู้ติดตามของเขาเฝ้าดูตลอดปี 2021 นี้
โดยไล่จากอันดับที่ 10 ขึ้นไปนั้นก็คือเหรียญ Hegic หรือเหรียญประจำแพลทฟอร์มด้านตราสาร Options ที่ทำงานอยู่บน Ethereum
“เมื่อตลาด DeFi นั้นกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดตราสารอนุพันธ์แบบ decentralized ก็จะโตตามเช่นกัน Hegic นั้นทำให้นักลงทุนสามารถเปิดเทรด call หรือ put options ในตลาดเหรียญคริปโตอย่างเช่น Ethereum ได้ หากลองพิจารณาถึงขนาดและความต้องการของตราสาร options ในตลาดคริปโตและรวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ แล้ว Hegic อาจจะกลายมาเป็นผู้เล่นหลัก ๆ ที่น่าสนใจได้ในปี 2021 นี้เลย”
ส่วนอันดับที่ 9 นั้นก็คือเหรียญ Warp Finance ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถยืนหยัดต่อแรงเทขายได้ในปีนี้ โดยทีมงานของเหรียญดังกล่าวนั้นสามารถที่จะกู้เงินที่ถูกขโมยไปมาได้แล้ว 75% ในการโจมตีแบบ Flash loan และกำลังเตรียมแจกเงินคืนให้กับเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเตรียมติดต่อบริษัทด้านการออดิตโค้ดให้เข้ามาช่วยพัฒนาโปรโตคอลด้านความปลอดภัยอีกด้วย
“Warp นั้นให้บริการนักให้สภาพคล่อง (LP) ในการล็อคเหรียญโทเคนของพวกเขาเป็นหลักประกัน เพื่อแลกกับการที่จะกู้ยืมเหรียญ stablecoin ในตลาดได้เป็นจำนวนมาก โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่น่าดึงดูด อีกทั้งยังมีโอกาสในการถูก liquidate ที่ต่ำมาก ๆ อีกด้วย ในสัปดาห์แรกโปรโตคอลดังกล่าวนั้นได้ดึงดูดเหรียญโทเคนนับล้าน ๆ ให้เข้ามาในตลาดได้”
อันดับที่ 8 นั้นก็คือเหรียญ DeFi Money Market (DMM) ที่นาย Merten เชื่อว่ามันจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านดอกเบี้ยได้
“DMM นั้นเป็นระบบโปรโตคอลแบบเปิดที่ทำให้ใครก็ได้สามารถที่จะล็อคเหรียญ stablecoin เอาไว้เพื่อรับดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ที่จับต้องได้ สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ DMM นั้นก็คือมันนำเอาโมเดลของระบบธนาคารแบบเก่ามาปรับปรุงใหม่ คือแทนที่จะให้ธนาคารจะเป็นผู้รับฝากเงิน และนำเอาเงินที่ฝากนั้นไปให้คนอื่นกู้ยืมต่อ และเป็นผู้เก็บดอกเบี้ยและกำไรส่วนใหญ่ไว้กับตัวเอง แต่ DMM นั้นจะเก็บผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ก่อนที่จะนำเอารายได้เหล่านั้นไปแบ่งให้กับผู้ที่เอาเงินมาฝากนั่นเอง”
อันดับที่ 7 นั้นก็คือ Unibright (UBT) ที่นาย Mertern กล่าวว่าเป็นเหมือนกับนักมวยเฮวี่เวทในโลกของ blockchain สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่
“Enterprise blockchain นั้น ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้นมันถือเป็นส่วนหนึ่งของวงการคริปโตที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากพอ และสำหรับ Unibright มันเป็นโปรเจคที่ชำนาญในด้านนี้เลยทีเดียว เริ่มต้นจาก framework ของ Unibright ที่สามารถจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการสร้าง smart contract ให้กับบริษัทขนาดใหญ่แบบง่าย ๆ และมีความเป็นอัตโนมัติ พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการนี้ อีกทั้งยังช่วยลดบาเรียในด้านการพัฒนา blockchain สำหรับบริษัทขนาดใหญ่อีกด้วย”
อันดับที่ 6 นั้นก็คือเว็บกระดานเทรดแบบ decentralized ที่ชื่อว่า Loopring โดยนาย Merten กล่าวว่าโปรโตคอลตัวนี้ได้ถูกพัฒนาไปอย่างมากแล้วในช่วงปี 2020 นี้
“ทาง Loopring ได้ทำการอัพเกรดโครงสร้างของพวกเขาทำให้ระบบสามารถกลายมาเป็น market maker แบบอัตโนมัติ หรือ AMM อีกทั้งยัง ทำการติดตั้ง solution ของ zk roll-ups ทำให้สามารถเทรดผ่านแพลทฟอร์มได้ 2,025 ธุรกรรมต่อวินาที และแต่ละธุรกรรมก็มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า 1 เพนนีอีกด้วย”
อันดับที่ 5 นั้นเป็นโปรโตคอลด้านการบริหารจัดการกองทุนที่อยู่บน Synthetix ที่ชื่อว่า dHEDGE (DHT)
“dHEDGE ทำให้ทุกคนสามารถเป็นผู้จัดการกองทุนแบบเสมือนจริง, เป็น hedgefund แบบที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร, ทำให้คุณสามารถสร้างพอร์ทแบบสังเคราะห์ได้เอง ผ่านระบบโปรโตคอลของ Synthethix โดยผู้คนหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถที่จะมารวมตัวกันเพื่อดึงดูดเม็ดเงินด้วยการให้บริการด้วยค่าบริหารกองทุนที่ต่ำ, อีกทั้งยังมีผลประกอบการที่ดีผ่านการจัดการบริหารพอร์ทอีกด้วย”
อันดับที่ 4 นั้นคือเหรียญประจำแพลทฟอร์ม oracle แบบ decentralized ที่ชื่อว่า Chainlink (LINK)
“จุดยืนที่ใหญ่ที่สุดของ Chainlink นอกเหนือจากการมีเทคโนโลยีระดับแนวหน้าในวงการนั้นก็คือการที่พวกเขามีกลุ่มชุมชนผู้สนับสนุนที่ใหญ่มาก ๆ และพวกเขาก็ได้ทำการสร้างมันมาหลายปีแล้ว ผมรู้สึกมั่นใจมากว่า LINK นั้นจะสามารถพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ได้เหมือนกับที่ Ethereum เคยทำได้เมื่อปี 2017”
ส่วนอันดับที่ 3 นั้นก็คือ Uniswap (UNI) หรือเป็นผู้ให้บริการด้าน market maker แบบอัตโนมัติที่ใหญ่ที่สุดในวงการ DeFi อ้างอิงจากนาย Meten
“ด้วยความที่เรามีผู้ให้สภาพคล่องที่เยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ บนแพลทฟอร์ม อีกทั้งยังมีเหรียญโทเคนที่รองรับอีกมาก และยังมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ มันได้กลายมาเป็นเว็บเทรดแบบ dencentralized ที่ดีกว่าเว็บกระดานเทรดอื่น ๆ หลายแห่งแล้ว นอกจากนี้โวลุมซื้อขายรายวันของมันยังแซงหน้าของ Coinbase ไปอีกแล้วด้วย”
อันดับที่ 2 สำหรับนาย Merten นั้นก็คือเหรียย Ampleforth (AMPL)
“ลองนึกถึง Ampleforth ว่าเป็นเหมือนกับธนาคารกลางบนระบบ Blockchain ที่ออกธนบัตรใหม่ หรือเหรียญ Ample Token เมื่อตอนที่ราคาของมันเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1 ดอลลาร์ แต่มันก็จะไม่ทำให้มูลค่าของเหรียญที่คุณถือลดลงผ่านภาวะเงินเฟ้อเมื่อตอนที่เหรียญเหล่านั้นถูกสร้างออกมา นอกจากนี้ Ampleforth นั้นยังสามารถทำแบบตรงกันข้ามได้ด้วย ก็คือการลดจำนวน supply ลงเมื่อราคานั้นร่วงลงไปต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ และการ peg ค่าเงินนั้นสามารถที่จะถูกปรับได้บ่อย ๆ เพื่อให้ได้ระดับค่าเงินเฟ้อที่เงินดอลลาร์จริง ๆ เคยเจอมาตั้งแต่ตอนเปิดตัวโปรโตคอลเมื่อปี 2019 ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้อัตราการผูกกับค่าเงินดอลลาร์นั้นอยู่ที่ 1.1 ดอลลาร์”
เขายังเผยว่า Ampleforth นั้นมีกรณีการใช้งานที่น่าสนใจในแง่ของความมั่นคง โดยผู้คนในวงการ DeFi สามารถที่จะมองหาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีมูลค่าคงที่เพื่อนำมาเป็นตัวค้ำประกันหรือตัวเก็บมูลค่า
ส่วนเหรียญอันดับหนึ่งที่เขาแนะนำนั้นก็คือ Ethereum (ETH) โดยนาย Merten กล่าวว่ามันมีโอกาสเติบโตที่สูงมาก แต่มีความเสี่ยงที่ต่ำ นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำว่าโปรเจค Defi ทุกตัวและรวมถึงเหรียญโทเคนที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ถูกรันอยู่บน Blockchain ของ Ethereum หมด
“ด้วยการเตรียมการของ ETH 2.0 นั้น มันถือเป็นการว่งแผนระยะยาวเพื่อขยายการทำธุรกรรมต่อวินาทีให้เป็นระดับหลายพัน พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนระบบ consensus ให้กลายไปเป็น proof of stake อีกด้วย ซึ่งส่งผลทำให้มันมีการใช้พลังงานที่ลดลงอย่างมหาศาล และ Ethereum ก็กำลังเตรียมประสบความสำเร็จในระยะยาว
หากการอัพเดตนี้เปิดใช้งานจริง ๆ และการทำธุรกรรมนั้นมีความลื่นไหล มันก็จะเหมือนกับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในวงการโปรโตคอลของ blockchain อีก การเพิ่ม transaction throughput และการ stake rewards จะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาด Ethereum อย่างมหาศาล”