<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เหรียญ Cryptocurrency 10 อันดับแรกทำอะไรได้บ้าง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในวันนี้ สกุลของ cryptocurrency ทั้งหมดมีอยู่ราวๆ 1500 สกุลแล้ว และมันก็จะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ โดยพื้นฐานแล้ว ทุกคนที่จะมาลงทุน crypto นั้นจำเป็นต้องเข้าใจพวกมันมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ และแน่นอน ไม่มีสกุลตัวไหนที่สำคัญและน่าศึกษาเป็นกลุ่มแรกเท่ากับเหรียญอันดับต้นๆอีกแล้ว เราจะสรุปสั้นๆกันว่าเหรียญ 10 อันดับแรกนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง

Bitcoin (BTC)

ถูกสร้างมาเพื่อตอบรับกับวิกฤติการเงินในปี 2008 Bitcoin เป็นเสมือน “คุณปู่” สำหรับ cryptocurrency Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวิธีการโอนย้ายความมั่งคั่งและอำนาจจากสถาบันการเงินและรัฐบาลต่างๆมาให้บุคคลทั่วๆไป Bitcoin พยายามที่จะสร้างอิสรภาพแบบนี้ด้วยการผลิตเงินตราที่ decentralized และอยู่นอกอำนาจกฎหมายของคณะกรรมการบริหารต่างๆทั่วโลก มีโครงการพัฒนาอยู่เป็นประจำยกตัวอย่างเช่น Lightning Network ซึ่งมุ่งหมายที่จะทำให้ Bitcoin เข้าใกล้ถึงเป้าหมายแรกของมันมากยิ่งขึ้น

Ripple ( XRP)

ถ้าพวกเรากำลังอยู่ในนิยาย… Ripple นั้นก็คือตัวปรปักษ์สำหรับ Bitcoin โดยสิ้นเชิง Ripple มุ่งหมายที่จะสร้างวิธีแก้ปัญหาสำหรับธนาคารและผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆด้วยธุรกรรมที่ราคาถูก มีประสิทธิภาพ และละเอียดถี่ถ้วนผ่านเทคโนโลยี RippleNet มันต่างจาก cryptocurrencies ส่วนมาก ตรงที่ Ripple นั้น centralized และเคยได้ถูกทำเป็นเหรียญจริงๆซึ่งถูกแจกจ่ายภายในบริษัทของ Ripple อีกด้วย Ripple มีหุ้นส่วนถึง 100 กว่ารายในเครือข่าย รวมไปด้วย American Express

Ethereum (ETH)

Ethereum เป็นผู้ริเริ่มสร้าง Smart contracts และก็ decentralized applications (DApps) เข้าไปใน Blockchain network ของมัน Ethereumได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อ developers ต่างๆ ทำให้พวกเขาหันมาสร้างและต่อยอดจากระบบ blockchain ของมันต่อไป เทคโนโลยี Ethereum มักจะถูกใช้ด้านการสร้าง token มากที่สุด นักพัฒนาสามารถสร้าง token ที่สามารถโอนได้ ตอนนี้มีกว่าร้อยโครงการแล้วที่ทำงานด้วย Ethereum token ซึ่งถูกแจกจ่ายผ่าน ICOs ควบคุมโดยเครือข่าย ETH ผ่าน smart contract ซึ่งจะถูกแลกเปลี่ยนและทำการธุรกรรมบน Ethereum blockchain

Bitcoin Cash (BCH)

Bitcoin Cash เป็น fork ของ Bitcoin ที่เรียกตนเองว่าเป็นไปตามวิสัยทัศน์แท้จริงของ Bitcoin ในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 ทุกๆคนที่ถือ Bitcoin อยู่ได้รับ  Bitcoin Cash ตามจำนวนที่แต่ละคนถือไว้ มันได้รับการสนับสนุนโดย Roger Ver ผู้เป็นนักลงทุน angel investor และก็ผู้บริหารของBitmain Jihan Wu และก็ผู้ที่คลุ้มคลั่งเรื่อง cryptoอย่าง Craig Wright BCHมีคำมั่นสัญญาที่จะแก้ไขปัญหา Scaling ที่เกิดขึ้นกับ Bitcoin ด้วย block size ที่มีขนาดถึง 2 MB… นั่นก็ใหญ่มากกว่า Bitcoin สองเท่า

Cardano (ADA)

Cardano ได้รับฉายาเป็น cryptocurrency รุ่นที่สาม มุ่งหมายที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อนักพัฒนา โดยพวกเขาประกาศว่า “คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ด้านเทคนิคเรื่อง blockchain มากแบบถึงขั้นเจาะลึก คุณก็สามารถพัฒนาต่อยอดเหรียญของเราได้แล้ว”  ทีมงาน ADA นั้นรวมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน computer science รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum อย่าง Charles Hoskinson เหรียญ Cardano ได้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับ Etherium Classic ซึ่งเป็น  fork ของ Etherium

Litecoin (LTC)

ตั้งแต่มันกำเนิดขึ้น Litecoin ได้ทำงานเสมือนกับเป็น silver เมื่อมีการนำ ทอง ไปเปรียบเทียบกับ Bitcoin มันเป็นหนึ่งใน altcoins ที่เก่าที่สุด และทำหน้าที่เป็น testnet สำหรับ  Bitcoinโดยส่วนมาก ระบบfeatureหลายอย่างเช่น SegWit ได้ถูกรวมและทดลองก่อนที่จะถูกติดตั้งลงเครือข่าย Bitcoin จริงๆ (TestNet คือ Bitcoin network จำลองจากของจริง ถูกใช้โดยนักพัฒนาเพื่อการทดลอง และไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะให้มันมีมูลค่าอะไรเลย) ช่วงที่ Bitcoin เจอปัญหาและการติดขัดเรื่องระยะเวลา Litecoin ได้ถูกสนับสนุนให้เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงกว่า Bitcoin

IOTA (MIOTA)

IOTA นั่นโดดเด่นตรงที่ว่ามันแตกต่างจากสกุล crypto อื่นๆแทบทั้งหมด IOTAไม่ได้ทำงานบน blockchain แต่บัญชีแยกประเภทของมันทำงานผ่านเครือข่ายนามว่า Tangle เป้าหมายของ IOTA คือการทำงานเป็นระบบสื่อสารระหว่างหน่วยงานต่างๆในสภาพแวดล้อม Internet of Things (IoT) ภาพรวมก็คือสำหรับในอนาคต IOTA จะกลายเป็นวิธีในการที่อุปกรณ์สมาร์ท (smart devices) ต่างๆสามารถมีปฏิกิริยาระหว่างกันและกันได้ ในขณะนี้จุดที่น่าดึงดูดสุดเกี่ยวกับ IOTA คือมันไร้ซึ่งค่าดำเนินการใดๆทั้งนั้น

NEM (XEM)

ลักษณะที่เด่นมากๆของ NEM คือมันใช้ระบบ Proof-of-Importance (PoI) ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย (network propagation) ระบบ PoI นั้นเป็น Proof-of-stake (PoS) แบบผสม (hybrid) ซึ่ง แทนที่มันจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้ “ถือเหรียญ” แบบ PoS ทั่วไป มันจะให้รางวัลกับ node ที่ใช้จ่าย NEM แทน ทาง NEM ก็มีระบบ mosaics ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบ token ของ Ethereum แต่จะเป็นมิตรกับผู้ใช้ระบบมากกว่า NEMยังมีระบบบัญชีแยกประเภทแบบส่วนตัว (private ledger) เพื่อธุรกรรมภายใน ซึ่งทางสถาบันการเงินในประเทศญี่ปุ่นยังคงทดสอบกับมันอยู่ในตอนนี้

Stellar Lumens (XLM)

Stellar ทำหน้าที่เป็นสกุลทางเลือกจาก Ripple เพราะทาง Stellar นั้น decentralized ในขณะที่ทั้งสองสกุลนี้มีระบบที่คล้ายกัน XLM มีเป้าหมายที่จะให้บริการบุคคลทั่วไปด้วยระบบส่งเงินและระบบ Micropayment ลักษณะที่น่าสนใจโดยส่วนใหญ่ของ XLM นั้นมาจากการมีหุ้นส่วนในปัจจุบันกับธุรกิจใหญ่ อย่าง IBM… ในตอนนี้ IBM กำลังที่จะสร้างระบบชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ที่ทำงานบนระบบ XLM หุ้นส่วนสำคัญอีกแห่งก็คือ Deloitte หนึ่งใน 4 บริษัทบัญชีใหญ่ (Big 4) แห่งสหรัฐฯ

DASH

DASH เป็นสกุลเงินดิจิตอล เหรียญสกุลนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างตัวให้เป็นทางเลือกอันดับหนึ่งสำหรับผู้ค้าขายรวมถึงผู้บริโภค DASH มีระบบการยืนยันธุรกรรมแบบทันที และระบบความเป็นส่วนตัวต่างๆที่สามารถปกปิดสมดุลและก็ธุรกรรมต่างๆในwalletของผู้ใช้ได้ DASH มีหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดด้วยโหนดกว่า 5000 ตัว รวมถึงผู้ค้าขายจำนวนมากที่เปิดรับสกุลเหรียญนี้  ผู้ที่ถือเหรียญ DASH ยังสามารถที่จะโหวตและก็เสนอโครงการรวมถึงการพัฒนาต่างๆให้กับทีมงานได้อีกด้วย

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น