ดูเหมือนว่าในที่สุดเรื่องราวมหากาพย์ของ Mt.Gox ใกล้ที่จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากที่ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 10 ปี ซึ่งใครที่อยู่ในวงการคริปโตอาจคุ้นเคยกับชื่อนี้มาบ้างแล้ว แต่สำหรับท่านที่ยังไม่เคยรู้จัก และไม่ทราบว่าทำไม Mt.Gox ถึงมีผลกระทบต่อวงการคริปโตมากมายมหาศาล ในบทความนี้ทางสยามบล็อกเชนจะพาทุกท่านมารู้จักกับ Mt.Gox ตั้งแต่ต้นจนจบ
จุดกำเนิด Mt.Gox
Mt.Gox เดิมทีเคยถูกยกให้เป็นเว็บเทรดคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตัวบริษัทตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มก่อตั้งขึ้นโดย Jed McCaleb ซึ่งแต่เดิมนั้นจุดประสงค์ของแพลตฟอร์มถูกจัดตั้งมาเพื่อเป็นศูนย์ซื้อขายการ์ดเกมชื่อดังอย่าง Magic : the Gathering ซึ่ง Mtgox.com นั้นก็เป็นตัวย่อของคำว่า Magic: The Gathering Online eXchange
ต่อมา McCaleb ได้เริ่มให้ความสนใจในการซื้อขาย Bitcoin จึงได้เริ่มเปลี่ยนเว็บไซต์ดังกล่าวให้เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ ทว่าเขากลับรู้สึกว่ามันต้องทุ่มเทเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจขายบริษัทให้กับ Mark Karpelès โปรแกรมเมอร์ที่อยู่ในญี่ปุ่นมาสานงานต่อ และได้เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังในปี 2010 จนขึ้นเป็นเว็บเทรดอันดับหนึ่งของโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในโลก ถึง 80% ของธุรกรรมคริปโตทั้งหมด
เกิดอะไรขึ้น !
ธุรกิจเติบโตขึ้นทุกวันและดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่แน่นอนว่าโลกบนอินเทอร์เน็ตนั้นไม่มีทางที่จะปลอดภัยเสมอไป โดยทาง Mt.Gox ได้ถูกโจมตีแฮ็กระบบจนต้องปิดเว็บหลายวัน แต่โชคยังดีที่ได้รับความช่วยเหลือจาก Roger Ver และ Jesse Powell ผู้สนับสนุน Bitcoin ในยุคบุกเบิกจนบริษัทสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้
ทว่าปัญหากลับมีมากกว่าแค่การถูกแฮ็กอย่างต่อเนื่อง เพราะ Karpelès ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มนั้นกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัท ส่งผลให้การบริหารงานภายในนั้นย่ำแย่ อีกทั้งเขายังละเลยที่เรื่องสำคัญหลาย ๆ อย่างทำให้ปัญหาของ Mt.Gox เริ่มสะสม และผู้คนเริ่มขาดความเชื่อมั่น
จนกระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลง ทาง Mt.Gox ได้ประกาศระงับการถอน Bitcoin ทั้งหมด แต่ไม่ได้ระงับการซื้อขายบนกระดานเทรด โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาทางเทคนิค แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีการตอบกลับใด ๆ จากทาง Mt.Gox จนกระสุดท้ายเรื่องทั้งหมดได้แดงออกมา โดย Mt. Gox ระงับการซื้อขายทั้งหมดบนกระดานเทรด และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เว็บไซต์ของ Mt. Gox ก็ได้ปิดตัวลง พร้อมขอยื่นล้มละลาย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากเสียหายกันถ้วนหน้าและไม่สามารถกู้คืนเงินที่ฝากไว้กับเว็บไซต์ได้
ทั้งนี้จำนวน Bitcoin ทั้งหมดที่ถูกขโมยไปนั้นสามารถคิดเป็นจำนวนได้กว่า 850,000 BTC ตีเป็นมูลค่าความเสียหายราว 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในระดับราคาปัจจุบัน
คดีความที่ยืดเยื้อ
นับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนับตั้งแต่การล่มสลายของ Mt.Gox แต่ในปัจจุบันยังคงมีลูกหนี้อีกเป็นจำนวนมากที่รอคอยเงินของพวกเขา ซึ่งคาดว่าทาง Mt.Gox นั้นมีลูกหนี้อยู่ประมาณ 127,000 รายและต้องทำการชดใช้คืนมูลค่าประมาณ $9.4 พันล้าน ซึ่งเดิมทีแล้วการชำระหนี้ควรดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างทำให้กระบวนการนี้ยืดเยื้อมากว่าทศวรรษ
การชดใช้
ทว่าล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีรายงานเผยแพร่ว่าทาง Mt.Gox จะเริ่มทยอยชำระหนี้ที่ค้างไว้ โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฏาคมเป็นต้นไป ซึ่งในครั้งนี้ทาง Mt.Gox อาจเตรียมที่จะจ่ายหนี้จริง ๆ หลังเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมได้มีการโอนย้าย Bitcoin กว่า 141,686 BTC ไปยังกระเป๋าใบใหม่ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรกในรอบ 5 ปีของ Mt.Gox
สำหรับทางลูกหนี้นั้น Mt.Gox ได้ประกาศที่จะชดใช้คืนในรูปแบบของ Bitcoin , Bitcoin Cash ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกหนี้ หรือสินทรัพย์ที่ลูกหนี้เคยได้ถือครองอยู่ในเว็บไซต์
อย่างไรก็ตาม Alex Thorn หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Galaxy Research ระบุว่าประมาณ 75% ของเจ้าหนี้เลือกที่จะรับเงินคืนแบบ “เร็ว” โดยยอมสละเงินคืน 10% แลกกับการดำเนินงานที่เร็วขึ้นส่งผลให้มี Bitcoin ประมาณ 95,000 BTC จะถูกปล่อยสู่ตลาดในเบื้องต้น โดยสามารถแบ่งได้ออกเป็น 20,000 BTC ที่ติดอยู่กับกองทุนสินไหม
และอีก 10,000 BTC ที่เป็นของ Bitcoinica BK ทำให้เหลือเพียง 65,000 BTC สำหรับเจ้าหนี้ทั่วไป
ผลกระทบ
ด้วยความที่ Mt.Gox เคยเป็นถึงเว็บเทรดอันดับหนึ่งของโลกที่มีการทำธุรกรรมคริปโตเกินกว่า 80% ย่อมส่งผลกระทบต่อ Bitcoin อย่างมหาศาล ซึ่งทุกครั้งที่ Mt.Gox ออกมาเคลื่อนไหวราคาของ Bitcoin มักจะร่วงลงอยู่เสมอ เห็นได้จากล่าสุดที่ราคา Bitcoin ลดลงกว่า 2.32% ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์บางรายกลับมองว่าเมื่อถึงเวลาการจ่ายหนี้จริงราคา Bitcoin อาจไม่ร่วงหนักเท่าที่คิดไว้ก็เป็นได้ เพราะเหล่าเจ้าหนี้ที่ได้เหรียญคืนไปอาจยังไม่ทำการเทขายในตอนนี้
ที่มา : Cointelegraph