การ hard fork ของเหรียญด้าน privacy นาม Monero ส่งผลทำให้เกิดโปรเจคเหรียญใหม่ออกเป็นสี่เหรียญ
เหรียญ Monero ได้ทำการ hard fork โพรโตคอลเป็นเวอร์ชัน 12 เมื่อวานนี้ แต่ก็ไม่ได้มีทุกคนที่เห็นด้วย เนื่องจากหลาย ๆ คนได้รับประสบการณ์จากการ hard fork ที่เคยมีขึ้นของ Ethereum Classic มาแล้ว โดยในขณะนี้ได้มีโปรเจคเหรียญใหม่ที่เกิดออกมาจากการ hard fork ของ Monero ซึ่งก็คือ Monero Classic, Monero 0 (XMZ), Monero Original (XMO) และอีกโปรเจคที่ตั้งชื่อซ้ำกัน Monero Classic (XMC) (ที่ซึ่งภายหลังจากนี้ในบทความจะเรียกมันว่า Monero-Classic) โปรเจคเหรียญเหล่านี้จะยังคงทำงานอยู่บนโพรโตคอลเวอร์ชัน 11 ของ Monero ตัวหลัก ซึ่งหมายความว่าพวกมันจะยังคงทำงานอยู่บนเครือข่ายเดียวกัน ใช้ asset (coin) เดียวกัน แต่มีชื่อที่ไม่เหมือนกัน
คำถามที่ตามมาคือทำไมถึงต้อง Hard fork ล่ะ?
การ Hard fork ของ Monero
โดยปกติแล้วทางนักพัฒนาเหรียญ Monero จะทำการ hard fork เพื่ออัพเกรดเหรียญทุก ๆ 6 เดือนเป็นปกติ โดยตัว hard fork ล่าสุดนั้นได้มีการเผยถึงฟีเจอร์ตัวใหม่ที่รวมไปถึงการเพิ่ม ring-size สำหรับการทำธุรกรรมโอนเหรียญหากันได้เยอะขึ้น และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีการรองรับกระเป๋าฮาร์ดแวร์ Ledger Nano S, ธุรกรรมแบบ multi-signature และอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่สำคัญ การ hard fork ล่าสุดยังได้มีการแก้ไขอัลกอริทึ่ม proof-of-work หลักของ Monero ที่มีชื่อว่า CryptoNight โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นการทำให้เครื่องขุดประเภท ASIC (application-specific integrated circuit) ไม่สามารถใช้ ขุด Monero ได้อีกต่อไป ตามที่ทางสยามบล็อกเชนเคยรายงานไปแล้วก่อนหน้านี้ถึงการประกาศสงครามกับทีมนักพัฒนาของเหรียญดังกล่าวที่ “ไม่เอา” และไม่ต้องการเครื่อง ASIC ให้มาอยู่ในระบบ ecosystem ของ Monero เนื่องจากมันจะทำให้เกิดความ centralized มากขึ้นในระบบ และทางนักขุดที่มีทุนหนาอาจจะใช้ ASIC เพื่อทำการโจมตี 51% ได้
ผู้ใช้งานเหรียญ Monero ในชุมชนต่างก็เห็นด้วยถึงการตัดสินใจของนักพัฒนา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทุกฝ่ายที่จะแฮปปี้ โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้นก็คือกลุ่มนายทุนผู้ผลิตเครื่องขุด ASIC อย่าง Bitmain และรวมถึง Halong Miningและ PinIdea ที่เพิ่งจะประกาศเปิดตัวเครื่องขุด ASIC อัลกอริทึ่ม CryptoNight ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่มันก็ต้องกลายเป็นที่ทับกระดาษไปในทันที หลังจากการ hard fork
เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โครงการเหรียญใหม่ทั้งสี่ได้ออกมาประกาศถึงการเตรียม hard fork ของโพรโตคอล Monero แล้ว โดยรายงานเผยว่าเหรียญทั้งหมดสี่ตัวนั้นจะใช้โพรโตคอลเดียวกัน และรวมถึงเครือข่ายและเหรียญเดียวกันอีกด้วย ยกเว้นแค่ชื่อและโลโก้ที่แตกต่างกัน
โปรเจคเหรียญใหม่ 4 ตัวทั้งหมดนี้คือตัว pre-hard fork ของ Blokchain ของ Monero
Monero Classic (XMC)
Monero Classic นั้นถูกริเริ่มโดยกลุ่มผู้ชื่นชอบ Monero จากสิงคโปร์ รวมถึงกลุ่มนักพัฒนาและ “นักขุด” ที่รู้สึกว่า “มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง” โดยนาย Bento Tan หรือตัวแทนของกลุ่มดังกล่าวให้สัมภาษณ์กับ Bitcoin Manazine ว่า เขาเชื่อว่าการมีขึ้นของเครื่อง ASIC สำหรับ Monero นั้นถือเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดและระบบ ecosystem
เขากล่าวว่า
“การมีตัวเลือกที่มากขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้มีการแข่งขันในตลาดที่จะสร้างการเติบโตได้ เราควรที่จะมองไปที่ระดับนั้น ๆ เพราะการควบคุมแค่ฝ่ายเดียวนั้นมันก็ไม่ต่างจากการบีบคอฆ่ากันให้ตายหรอก เพราะมันเหมือนกับคุณเอากำลังขจัดความต้องการในการพัฒนาและการเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกไป”
นาย Tan ยังกล่าวเสริมว่านอกจากตัวเขาแล้วนั้น ยังมีผู้ผลิต ASIC อื่น ๆ อีกสามเจ้าที่ช่วยยืนยันถึงเหตุผลของเขาได้
นอกจากนี้เขายังมองว่าการ hard fork เพื่อขจัดเครื่องขุด ASIC ออกไปนั้นถือเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่มากกว่าความเสี่ยงด้านการ centralize การขุดเสียอีก โดยเว็บไซต์ของ Monero Classic นั้นกล่าวว่า
“สิ่งหลัก ๆ ที่ทาง Monero Classic อยากจะกล่าวถึงก็คือ พวกเราเชื่อว่าการแก้ไขและเปลี่ยน proof-of-work ของนักพัฒนาในครั้งนี้ส่งผลทำให้มันเกิดความเป็น centralization มากกว่า อีกทั้งยังทำลายความเป็น decentralization อีกด้วย” และนักพัฒนา Monero กำลังบอกว่าพวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนกฎ Consensus ได้เมื่อไรก็ตามที่พวกเขามองว่ามันเหมาะสมกับพวกเขา และดูเหมือนว่ากลุ่มชุมชนผู้ใช้งานก็จะถูกกำหนดให้อยู่ในกรอบของกลุ่มนักพัฒนาอีกด้วย”
ท้ายสุดนาย Tan กล่าวว่าทาง Monero Classic นั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Monero ตัวหลักใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่มีแผนการที่จะร่วมมือกับพวกเขาอีกด้วย
Monero-Classic (XMC)
บนเว็บไซต์หลักของพวกเขาเผยให้เห็นถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของโปรเจคดังกล่าวนามว่า “PZ ผู้บุกเบิกด้าน Bitcoin และผู้สร้างสภาพแวดล้อม Blockchain”
นาย PZ ได้ความแตกต่างที่ทำให้พวกเขาไม่เหมือนกับ Monero Classic ไว้บนเว็บไซต์ของพวกเขา โดยเผยว่า “การเกิดขึ้นมาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขุด cryptocurrency นั้นถือเป็นปรากฎการณ์ที่แสนจะธรรมดาของตลาด” นอกจากนี้เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ถ้ามันมีเครื่องขุดแบบมืออาชีพเกิดขึ้นมาล่ะก็ เหตุการณ์อย่าง ‘Monero ถูกโจมตีโดย botnets นับ 500,000 ตัวนั้นก็คงจะถูกหลีกเลี่ยงได้'” โดยเป็นการพาดพิงถึงกระแสการใช้ botnets ที่แทรกไปตามเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อที่ไม่รู้ตัว
ด้วยการที่โครงการดังกล่าวถูกส่งเสริมโดย pool ขุดของ Bitmain จึงทำให้หลาย ๆ คนพอจะคาดเดาได้ว่าทาง Bitmain นั้นจะสูญเสียผลประโยชน์ไปมากขนาดไปไหนหากมีการปรับ algorithm ของ CryptoNight ไม่ให้มีการขุดได้ด้วย ASIC อีกต่อไป บางคนถึงกับสงสัยว่าทาง Bitmain นั้นถึงกับยื่นมือเข้ามาแทรกแซงการพัฒนาโปรเจ็ค XMC นี้ด้วยซ้ำ
Monero 0 (XMZ)
ตัวแทนของ Monero 0 ให้สัมภาษณ์กับ Bitcoin Magazine ว่าโครงการดังกล่าวนั้นมีขึ้นโดยการรวมตัวของ “ผู้ใช้งาน” และ “ผู้ส่งเสริม proof-of-work อย่างสุดโต่ง” และบางคนก็เปิดเหมืองขุดเป็นงานอดิเรก
บนเว็บไซต์ของ Monero 0 ให้รายละเอียดว่า
“เราได้ตัดสินใจว่ากลยุทธ์การ hard fork ของ Monero ตัวหลักนั้นไม่ถือเป็นอะไรที่สมประกอบอีกต่อไป เราเชื่อว่า Proof of work ของ Satoshi นั้นถือเป็นระบบเดียวที่จะทำให้มี consensus แบบ decentralized ได้ โดยสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘การอัพเดตเครือข่าย’ นั้นถูกควบคุมโดย Monero Project และ Trojan Horse ที่ถูกออกแบบมาเพื่อขัดขวางประสิทธิภาพของ proof of work ในเครือข่าย Monero เราอยากบอกว่า Monero 0 นั้นไม่ใช่ตัว fork แยกตัว แต่นี่คือ Monero แบบต้นฉบับดั้งเดิมที่แท้จริง”
ตัวแทนจาก Monero 0 เผยว่า “Bitmain นั้นกำลังทำลาย Monero” แต่ก็ไม่ได้อธิบายต่อว่าอย่างไร
Monero Original (XMO)
ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบนักเกี่ยวกับ Monero Original หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังมัน
โครงการดังกล่าวมีบัญชี Github ส่วนตัว และส่ง PR ไปยังสื่อในหลาย ๆ ที่ ทว่า PR ดังกล่าวไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก แต่ได้มีการอ้างอิงคำกล่าวของ “หัวหน้านักพัฒนาหลักจากทีม Monero Original” โดยกล่าวว่า
“เหรียญ Monero ได้กลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่แสดงถึงอิสระ, ความหลากหลายของกลุ่มชุมชนที่รองรับมันอยู่ เราสัญญากับแฟน ๆ ว่าจะช่วยสนับสนุนเหรียญดังกล่าวนี้ และจะยังคงอยู่บน chain หลักดั้งเดิมของมันไม่แยกไปไหน ทีม Monero Original ยืนหยัดเพื่อความหลากหลาย, ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบของวิวัฒนาการ ดังนั้นเราจึงรอคอยเพื่อดูการเติบโตของเหรียญของเรา และเรายังรู้สึกตื่นเต้นที่จะรักษาความหลายหลายนี้ไว้” กล่าวโดยหัวหน้าทีมนักพัฒนาหลักของ Monero Original
ที่น่าสนใจคือเว็บกระดานเทรดเหรียญคริปโตนาม HitBTC เผยว่า พวกเขาจะรองรับเหรียญ XMO เพื่อให้ผู้ถือ XMR สามารถถอนเหรียญใหม่ได้ทันทีหลังจากการ hard fork แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าทาง HitBTC จะให้บริการตลาดซื้อขาย XMO แต่อย่างใด
บทสรุป
ดูเหมือนว่าในขณะนี้ blockchain ของทั้งตัว Monero และของตัว pre-hard fork ก็เริ่มที่จะทำงานแล้ว แม้ว่าเชนทั้งสองนั้นจะมีกำลังขุดน้อยกว่าตอนแรกก่อนที่จะถูก hard fork ซึ่งทำให้การเกิด block ใหม่ล่าช้ากว่าปกตินั้น แต่สถานการณ์อาจดีขึ้นภายในอีกไม่กี่วัน
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น