เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา นิตยสาร Forbes ฉบับล่าสุดได้มีการนำรูปภาพของ Michael Saylor ซีอีโอบริษัท MicroStartegy ผู้ที่ซึ่งเป็น Bitcoin Maxi ตัวพ่อ ขึ้นปกนิตยสาร พร้อมพ่วงด้วยฉายา “Bitcoin Alchemist”
Saylor เองได้ก้าวเข้ามาในโลกของคริปโตตั้งแต่ 5 ปีก่อนและนับจากนั้นเขาก็ได้เริ่มกักตุน Bitcoin เป็นจำนวนมากจนในปัจจุบันบริษัทของเขามี Bitcoin มากถึง 471,107 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์
นิตยสาร Forbes ระบุว่า เมื่องานเฉลิมฉลองวันสิ้นปีที่ผ่านมา Saylor ได้เชิญแขกระดับ Elite จำนวนกว่า 500 ราย มายัง Villa Vecchia บ้านพักสุดหรูขนาด 1,600 ตารางเมตร ของเขาในไมอามี ฟลอริดา ซึ่ง David Bailey ซีอีโอของ BTC Inc. และผู้ตีพิมพ์ Bitcoin Magazine ระบุว่างานเลี้ยงดังกล่าวเต็มไปด้วยคนดังในวงการคริปโต แต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับงานเถลิงราชย์ของ Saylor ในฐานะราชาของคริปโต มากกว่าจะเป็นงานเลี้ยง
Forbes ยกยก Saylor ให้เป็น Bitcoin Alchemist ซึ่งมีความหมายว่า นักเล่นแร่แปรธาตุ หรือ จอมเวทย์ Bitcoin เนื่องจากการที่เขาสามารถแปลง Bitcoin มาให้กลายเป็นสิ่งที่ใครก็ต้องการได้
Saylor เป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม โดยในปี 1989 เขาได้ก่อตั้ง MicroStrategy ขึ้นมาไม่นานหลังจบจากมหาวิทยาลัย MIT และใช้เวลาเพียง 11 ปี ในการสร้างตัวเป็นเศรษฐีที่มีเงิน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่แล้วเหตุการณ์ฟองสบู่แตกก็ทำให้เขาเสียอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ไปหมดสิ้น
มูลค่าหุ้นของ MSTR เคยมีการซื้อขายกันอยู่ที่ $313 แต่เมื่อฟองสบู่แตกหุ้นของเขากลับมีมูลค่าไม่ถึง $1 อีกทั้งยังโดน SEC สั่งฟ้อง แต่เขาก็ยังคงประคองบริษัทไว้ได้เรื่อย ๆ แม้มันจะทำผลงานได้ไม่ดีนัก
ทว่า จุดเปลี่ยนชะตาชีวิตของ Saylor เกิดขึ้นในปี 2020 หลังจากวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้เขามองเงินดอลลาร์เป็น “ขยะ” จากการที่มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาเป็นจำนวนมากจนทำให้ไม่สามารถเก็บความมั่งคั่งไว้ในนั้นได้อีกแล้ว และเขาก็ไปพบกับ Bitcoin และทำการเดิมพันหมดหน้าตักด้วยเงินสำรอง $530 ล้าน จนทำให้เขากลายมาเป็นตำนานในทุกวันนี้
จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินและความมั่งคั่งของ Saylor ทะยานขึ้นหลายเท่าตัวจาก $1.9 พันล้านในปี 2024 สู่ $9.4 พันล้านในปี 2025 ขณะที่หุ้นบริษัทของเขายังได้โตขึ้นกว่า 700% ในปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ในปัจจุบันมีการประเมินมูลค่าบริษัทที่ $8.4 หมื่นล้าน แม้จะมี Bitcoin เพียง $4.8 หมื่นล้านเท่านั้น ด้วยกลยุทธ์อันเรียบง่ายแต่แสนชาญฉลาดอย่างการ กู้เงินมาซื้อบิทคอยน์ ดันราคาให้สูงขึ้น แล้วก็ออกหุ้นเพิ่ม วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ ถ้า Bitcoin ล้มตัวของ MircroStrategy จะเป็นอย่างไร ในส่วนนี้ Saylor ตอบว่าเขาไม่ได้กังวลมากนัก เพราะถ้าบริษัทเขาจะล่มราคา Bitcoin จำเป็นที่จะต้องร่วงลงกว่า 80% และคงอยู่อย่างนั้นนานกว่าสองปี
สุดท้ายนี้ Saylor ได้เผยถึงความย้อนแย้งในชีวิตการทำงานของเขาว่า “ตัวเขาเองประดิษฐ์ผลงานกว่า 20 ชิ้นและพยายามผลักดันมันให้ประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ขณะที่ Satoshi Nakamoto สร้างนวัตกรรมขึ้นมาชิ้นเดียวและจากโลกใบนี้ไปเงียบ ๆ ซึ่งตัวของ Saylor ก็ทำเพียงแค่ส่งไม้ต่อมาเท่านั้น แต่นั่นทำให้เขาประสบความสำเร็จมากกว่าที่เขาทำมาทั้งหมดในชีวิต เป็นบทเรียนสำคัญว่าทำไมเขาถึงควรถ่อมตน”
ที่มา : Cryptopolitan