ถึงแม้ว่าราคาคริปโตในตลาดช่วงนี้นั้นกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นราคา Bitcoin กำลังลดลงต่ำกว่า 4,800 ดอลลาร์ในขณะที่เขียนบทความนี้
หลาย ๆ สำนักก็บอกว่าตลาดกำลังวอดวายแล้ว ทุกคนกำลังออกมาจากตลาดนี้กันหมดแล้ว แต่อีกฝั่งก็บอกว่า มันอาจเป็นผลดีก็ได้เมื่อราคา Bitcoin กำลังร่วงอยู่แบบนี้
แต่ถ้าหลายคนกำลังคิดว่านี่อาจสายเกินแก้แล้วที่จะเข้ามาลงทุนในคริปโต ลองมาอ่านสี่เหตุผลที่คิดว่ายังมีโอกาสและน่าสนใจที่จะลงทุนในคริปโตกัน
เงินจากสถาบันทางการเงินยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโต
Cryptocurrency ยังไม่ได้อยู่ภายใต้กฏหมายอย่างเต็มตัว เพราะบางประเทศก็ยังไม่มีกฏหมายสำหรับคริปโต ซึ่งเจ้าหน้าที่ในหลาย ๆ ประเทศก็ยังคงหารือว่าเราจะให้นิยามของ Cryptocurrency ว่าอย่างไรดี บางคนบอกว่ามันคือสกุลเงิน บางคนบอกมันเป็นสินค้า บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับทั้งสองอย่าง
ด้วยเหตุผลจากข้างต้นนั้นก็ทำให้นักลงทุนสถาบันต่าง ๆ นั้นยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนในคริปโต และมูลค่าในปัจจุบันของคริปโตมาจากผู้ที่ชื่นชอบในตัวเทคโนโลยี Blockchain และนายทุนเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้น นักลงทุนสถาบันที่เริ่มมองธุรกิจด้านคริปโตแล้วนั้นก็คือ Morgan Stanley และ Fidelity นั่นเอง
อุตสาหกรรมด้านคริปโตยังมีพื้นที่ให้โตอีกมาก
ถึงแม้ว่า Blockchain หรือคริปโตจะถูกคิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหาด้านการทำธุรกรรมให้รวดเร็วมากขึ้นแล้วนั้น ก็ยังคงมีอีกหลายอย่างที่รอ Blockchain เข้าไปแก้ปัญหาที่มันยังมีอยู่
Blockchain ยังถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับกับทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันยกตัวอย่างเช่น Ethereum ยังคงหาทางแก้ปัญหาการ Scaling ส่วน Bitcoin ก็มี Lightning Network ที่คอยเข้ามาช่วยในเรื่องการทำธุรกรรมให้ดียิ่งขึ้น
ปัจจุบันคริปโตยังถูกนำไปใช้เก็งกำไรมากกว่านำไปใช้งานจากเทคโนโลยีของมันเอง มันอาจต้องใช้ระยะเวลาให้มันถูกยอมรับและมีการใช้งานอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น
คริปโตมีศักยภาพในการเก็บมูลค่าเมื่อเจอวิกฤติทางการเงิน
หนึ่งในปัญหาระดับโลกก็คือระบบการเงินในปัจจุบันเช่นเงื่อนไขในการใช้สกุลเงินในแต่ละประเทศของพวกเขา โดยถ้าเราไปอยู่ในต่างประเทศสกุลเงินในประเทศที่เราจากมานั้นก็จะไม่มีค่า และต้องใช้สกุลเงินของพวกเขา
คริปโตไม่มีใครสามารถบังคับได้แม้แต่รัฐบาลเอง และไม่ต้องพกพาเหมือนเงินกระดาษ เราสามารถเก็บเงินที่ไหนก็ได้เพียงแค่มี Private Keys หรือกระเป๋าเก็บคริปโตแบบ Hardware และเราสามารถใช้มันได้ในยามวิกฤติเช่นประเทศเวเนซุเอลาที่เจอวิกฤติทางการเงินที่มีอัตราเงินเฟ้อขั้นสุดหรือประเทศซิมบับเวก็ตาม
หลายบริษัทกำลังเอา Blockchain มาร่วมใช้งานในบริษัทของตน
เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2018 ทาง Forbes ได้ลิสต์บริษัทจำนวน 50 แห่งที่กำลังใช้เทคโนโลยี Blockchain และในนั้นรวมไปถึง American Express, Oracle, IBM, Facebook และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยอีกหลาย ๆ บริษัทก็เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในธุรกิจของตนไม่ว่าจะเป็น Walmart, FedEx หรือ Baidu ที่จะทำบริการ BaaS (Blockchain-as-a-Service)
มันจึงไม่น่าแปลกใจที่การเติบโตของ Blockchain หรือคริปโตจะมาจากบริษัทเหล่านี้ โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลา 5 ถึง 10 ปี
สรุป
การลงทุนในคริปโตอาจไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไปอย่างเดียว การที่เรานำเทคโนโลยีของมันมาใช้งานได้อย่างแท้จริงหรือนำมันมาสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้าน Blockchain ได้นั่นแหละคือการลงทุนนั่นเอง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น