<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เริ่มเทรดคริปโตทำอย่างไร ? อะไรคือสิ่งที่มือใหม่ต้องรู้หากต้องการลงทุนในตลาดคริปโต

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี นั้นคึกคักเป็นพิเศษในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยหลายอย่าง เช่น การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF และ Halving ที่ใกล้เข้ามา ล้วนกระตุ้นให้นักลงทุนและผู้คนมากมายสนใจในคริปโตมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อราคา Bitcoin ได้ทะลุ 2 ล้านบาท สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความร้อนแรงของตลาดคริปโต

แต่สำหรับมือใหม่ ที่อยากลองเทรดคริปโต คงมีคำถามมากมายว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี บทความนี้จะมาช่วยแนะนำแนวทางสู่การเป็นนักเทรดคริปโตมือใหม่ให้เข้าใจง่าย ๆ 

ปูพื้นฐาน : อะไรคือคริปโต ,โทเค็น, บล็อกเชน และ Bitcoin

ก่อนอื่นเลยนักลงทุนมือใหม่หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าคำทั้ง 4 คำนี้มีความเหมือนกัน หรือ แตกต่างกันอย่างไร เพราะไม่ว่าจะศึกษาหาข้อมูลที่ไหนก็จะพบกับ 4 คำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ ซึ่งเราต้องอธิบายในจุดนี้ว่า Bitcoin และคริปโตนั้น ไม่เหมือนกัน

สำหรับ คริปโตนั้น คำแปลความหมายของมันโดยตรงคือ สกุลเงินที่ถูกเข้ารหัสบนโลกดิจิทัล และ ในปัจจุบันตัวของคริปโตก็ได้มีการใช้งานที่หลากหลาย และกว้างขวางมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อชำระค่าสินค้า หรือบริการ ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนนั้นจะใช้คริปโตเพื่อเป็นการเก็งกำไรในการลงทุน และรักษามูลค่า 

ถัดมาคำที่มักจะพ่วงมาด้วยอยู่เสมอคือ “บล็อกเชน” ที่เปรียบเสมือนรากฐานของคริปโต เนื่องจากในการเข้ารหัสนั้นจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่จะคอยเก็บรักษาข้อมูลการทำธุรกรรมเอาไว้ ซึ่งข้อมูลนี้จะโปร่งใสถูกตรวจสอบได้ และไม่มีตัวกลางคอยครอบงำ โดยสาเหตุที่เรียกว่าบล็อกเชนนั้นมาจาก การที่มีการสร้างชุดเก็บข้อมูลที่เรียกว่า (Block) ขึ้นมาแล้วทำการส่งไปเรียงต่อกันเรื่อยๆ ในลักษณะคล้ายโซ่คล้องกันกลายเป็น (Chain) จึงเกิดเป็นคำว่า Blockchain

ทีนี้พอมี Blockchain ขึ้นมาแล้ว คริปโตก็จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งคริปโตแต่ละตัวก็จะมีบล็อกเชนเป็นของตนเอง แต่ถ้าหากคริปโตตัวไหนไม่ได้มีบล็อกเชนเป็นของตนเองนั้น และทำการยืมบล็อกเชนตัวอื่นในการทำงาน เหรียญเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า “โทเค็น” ซึ่งเราจะเห็นโทเค็นเหล่านี้มากมายในบล็อกเชนของ Ethereum 

และสุดท้าย Bitcoin คือคริปโตเคอร์เรนซีประจำเครือข่าย Bitcoin Network เรียกได้ว่าเป็นเงินสกุลหนึ่งของคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยนักพัฒนานิรนาม “ Satoshi Nakamoto” เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกให้กับการเงินของอนาคตที่ไม่ต้องพึ่งพาค่าเงินเฟียตอีกต่อไป ซึ่งในปัจจุบัน Bitcoin นั้นถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งคริปโตทั้งปวง” เนื่องจากเป็นเหรียญที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีประวัติยาวนานมากที่สุด ได้รับการยอมรับมากที่สุด และมีวอลุ่มการเทรด รวมถึงมีมูลค่าตลาดสูงที่สุด

เตรียมตัวก่อนลงทุนคริปโต

สิ่งแรกเลยที่มือใหม่ควรจะคำนึงถึงไว้ก่อนเริ่มการลงทุนคริปโตนั้นคือ “เงินทุน” แน่นอนว่าหากปราศจากเงินเราก็ไม่สามารถลงทุนได้ แต่เงินที่นักลงทุนมือใหม่จะนำเข้ามาลงทุนนั้นจำเป็นที่จะต้องเป็น “เงินเย็น” ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือเป็นเงินที่สามารถเสียได้ เพราะคริปโตนั้นเป็นการลงทุนที่มีความผันผวนสูง เฉกเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น ดังนั้นเราจึงไม่แนะนำให้ทำการลงทุนหากปราศจากเงินเหล่านี้

เปิดบัญชีเตรียมเทรด

เมื่อเรามีเงินทุนพร้อมแล้วสำหรับก้าวแรก ขั้นต่อไปที่นักลงทุนควรจะต้องทำคือ เปิดบัญชีเทรดบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการหาแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุญาต และได้รับการตรวจสอบจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มที่เราเลือกลงทุนนั้นมีความปลอดภัย 

ในส่วนของแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ เราจะไม่แนะนำมือใหม่ให้ทำการเปิดบัญชีในแพลตฟอร์มเหล่านั้นเนื่องจาก เหตุผลด้านความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงแต่ก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่กฎหมาย และการคุ้มครองของประเทศไทยนั้นอาจไปไม่ถึง ส่งผลให้เกิดความยากลำบากหากเกิดปัญหาขึ้นมา อีกทั้งแพลตฟอร์มที่อยู่ในไทยมักจะมีคู่มือการใช้งานที่เป็นภาษาไทยทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกกว่าแพลตฟอร์มจากประเทศอื่น ๆ

สำหรับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบันที่ได้รับการอนุญาต จาก ก.ล.ต. ในปัจจุบัน นั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้

  • 1. BITKUB บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด  bitkub.com 
  • 2. GULF BINANCE  บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด  binance.th/th
  • 3. ORBIX TRADE บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด  orbixtrade.com
  • 4. UPBIT บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด  th.upbit.com
  • 5. INVX บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด innovestx.co.th
  • 6. TDX บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด set.or.th/th/tdx/about
  • 7. ERX บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด erx.io/
  • 8. WAANX บริษัท วาฬ เอ็กเชนจ์ จำกัด (ยังไม่เปิดให้บริการ)
  • 9. Z.COMEX บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ex.z.com

เริ่มต้นการเทรด

หลังจากทำการสมัครบัญชีแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วให้นักลงทุนทดลองฝากเงิน (จำนวนที่ไม่เยอะมาก) เข้าไปยังแพลตฟอร์มข้างต้น เพื่อเริ่มต้นทดสอบวิธีการซื้อขายและเรียนรู้วิธีการเทรดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเหรียญคริปโตที่มือใหม่ควรเริ่มทำการเทรดคือเหรียญที่มีประวัติ และชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน หรือมีมูลค่าตลาดและวอลุ่มซื้อขายที่อยู่ในระดับสูง เช่น Bitcoin หรือ Ethereum เนื่องจากคริปโตที่มีอายุได้ไม่มากนั้นยังคงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโปรเจกต์หลอกลวงนักลงทุนได้ ทั้งนี้เหรียญอื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก Bitcoin จะถูกเรียกว่า Altcoins ซึ่งจะสามารถแบ่งแยกย่อยได้เป็นอีกหลายประเภท อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่การให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยเพียงเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน 

ติดตามข้อมูลข่าวสารคริปโต

หากมาถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยว่าขณะนี้คุณคือนักลงทุนคริปโต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นถัดไปคือการติดตามข่าวสารเพื่อให้รู้ว่าขณะนี้สถานการณ์ตลาดกำลังเป็นอย่างไร โดยหากเรายังไม่ได้มีความรู้เรื่องคริปโตมากพอ เราสามารถกดติดตามแหล่งข่าวต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ต่อการลงทุน เช่น เพจของสยามบล็อกเชนที่จะนำเสนอข่าวคริปโตให้กับประชาชนชาวไทยในทุก ๆ วัน หรือจะเป็นการกดเข้ากลุ่มในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็เป็นวิธีที่ดี ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้เช่นกันคือ การติดตามเพจคริปโต หรืออินฟลูเอนเซอร์คนดังในวงการคริปโต โดยในประเทศไทยนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายท่านเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณท๊อป จิรายุส หรือ อาจารย์ ตั๊ม พิริยะ เป็นต้น

รู้จักตนเองว่าจะเป็นนักเทรดสายไหน

ถัดมาในส่วนนี้นักลงทุนควรจะค้นหาตนเองว่าตัวเองนั้นมีความชื่นชอบ หรือถนัดในการลงทุนประเภทไหน โดยเราจะสามารถแบ่งประเภทนักลงทุนได้ออกเป็น 5 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 

  • 1. Day Trading นักลงทุนรายวัน เน้นซื้อขายวันต่อวัน เหมาะสำหรับคนชอบนอนดึก และไม่ชอบถือเหรียญนาน ๆ เพราะตลาดมักคึกคักที่สุดในช่วงกลางดึกอันเป็นผลมาจากความแตกต่างของ Timezone ไทยกับประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐ ฯ 
  • 2. HODL นักเทรดสายทรหด ซื้อวันนี้ขายอีกทีหลายปีข้างหน้า ถือเหรียญไว้นานจนแทบจะลืม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาว่างเทรด หรือดูกราฟบ่อย ๆ เน้นความเชื่อมั่นในตัวเหรียญแบบระยะยาว รอทำกำไรเมื่อเหรียญขึ้นจุดสูงสุด 
  • 3. DCA สายหยอดกระปุกหมู สำหรับนักเทรดสายนี้เป็นสายที่ใช้วินัยที่สูง เนื่องจาก ต้องทำการซื้อคริปโตในปริมาณที่สม่ำเสมออย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพื่อเฉลี่ยต้นทุนที่ซื้อมาให้ถูกลง เหมาะสำหรับนักเทรดที่ไม่อยากทุ่มเงินมาก เป็นการออมคริปโตไปเรื่อย ๆ 
  • 4. Technical Analysis สายเซียนอ่านกราฟ เช่นเดียวกับการเทรดหุ้น นักเทรดสายนี้จะต้องมีความรู้เชิงเทคนิคระดับสูง สามารถวิเคราะห์และอ่านกราฟ รวมถึงดูแนวโน้มได้เอง 
  • 5. Farmer นักเทรดสายเก็บดอกกิน เป็นอีกสายหนึ่งที่ได้รับความนิยมเนื่องจากไม่ต้องเทรดเองก็สามารถทำกำไรได้ โดยการนำเหรียญคริปโตที่ตนเองมีไปฝาก หรือให้คนอื่นได้กู้ยืมไปใช้งานชั่วคราว แลกกับผลตอบแทนรายเดือนหรือรายปี

ความแตกต่างระหว่าง Spot และ Futures 

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้คือข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนใน Spot และ Futures สำหรับ Spot นั้นคือการซื้อมาขายไป ซื้อมาเท่าไรอยู่เท่านั้น สินทรัพย์ของเราไม่มีทางหายไปไหนได้เว้นแต่เราจะทำการขาย หากราคาขึ้นสูงอย่างมากก็แค่ “ติดดอย” แตกต่างจาก Futures ที่เป็นการซื้อสัญญาล่วงหน้าตามระดับราคาที่กำหนด ซึ่งวิธีนี้จะมีตัวเลือกให้เราได้เดิมพันสูงขึ้น หลายสิบหลายร้อยเท่า ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าเลเวอเรจ ทำให้เราสามารถทวีคูณผลตอบแทนได้ด้วยเงินลงทุนไม่มาก แต่มีความเสี่ยงที่สูงกว่าอย่างมหาศาล เนื่องจากเป็นการซื้อขาย “อนาคต” ทำให้เราซื้อขายเพียงแค่สัญญา ไม่ใช่ตัวสินทรัพย์จริง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่หากเราเดิมพันในตำแหน่งที่พลาดจะส่งผลให้เราถูก Liquidate ทำให้เราเกิดการ “พอร์ตแตก หรือ ถูกล้างพอร์ต” เสียเงินลงทุนไปทั้งจำนวน

การเก็บรักษาคริปโต

เทคนิคสุดท้ายจะเป็นเรื่องของการเก็บรักษาสินทรัพย์ของเราที่หามาได้อย่างยากลำบากให้ปลอดภัย ซึ่งโดยปกติแล้วนักลงทุนจะทำการส่งเหรียญคริปโตในบัญชีเว็บเทรดของเราเข้ามายังบัญชี Wallet (กระเป๋าเงิน) ของตัวเอง เพื่อเป็นการเก็บรักษาคริปโตไว้ในสถานที่ปลอดภัย โดยจะมีเพียงเจ้าของบัญชีเท่านั้นที่จะรู้ Password สำหรับเข้าใช้งาน Wallet ซึ่งรหัสจะเป็นอักขระตัวเลจซับซ้อนนับสิบหลัก ทำให้ยากต่อการถูกแฮ็ก 

สำหรับ Wallet นั้นจะถูกแบ่งอย่างง่าย ๆ เป็น 2 ประเภทคือ Hot และ Cold โดย Hot Wallet จะหมายถึงกระเป๋าเก็บคริปโตที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเสมอ ใช้งานง่าย แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมพอสมควร หากขาดความระมัดระวัง ส่วน Cold Wallet นั้นคือกระเป๋าที่ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นกระเป๋าเงินแบบ Offline นั่นเอง ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ Device ขนาดเล็ก เช่นกระเป๋าเงิน Wallet ที่บริษัท Ledger ได้ทำออกมา 

ข้อควรระวัง !

ตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้น คริปโตเคอร์เรนซีนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนต้องยอมรับถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ทางเราจึงไม่แนะนำให้นักลงทุนทำการลงทุนมากกว่าที่จะเสียได้ เพราะการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีนั้นอาจทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินทั้งจำนวน ดังนั้น นักลงทุนควรใช้วิจารณญาณอยู่เสมอ ก่อนเริ่มลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี

ที่มา : Bitkub