<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 เหตุผลที่ควรมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับ Cryptocurrency ในปี 2019

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อปลายปี 2017 เป็นปีทองสำหรับการลงทุนในคริปโตอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะลงทุนในด้านใดนั้น ก็สามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างสุด ๆ

แต่เมื่อถึงช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมานั้นราคา Bitcoin และคริปโตตัวอื่น ๆ ก็เริ่มลดลงอย่างเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีการกระเตื้องของราคาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาแตะที่ราคา 20,000 หรือ ATH ได้อีกเลย

และในระหว่างปี 2018 ที่ผ่านมานั้นเกิดเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนการอนุมัติของ Bitcoin ETF หรือการออกกฏหมายต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือลบ ก็ตาม โดยในเมืองไทยนั้นรัฐบาลก็ได้เห็นถึงความสำคัญของ Blockchain และคริปโต จึงได้ออก พรก. เรื่องการหักภาษีคริปโต นั่นเอง

ถึงแม้ว่าราคาคริปโตหรือ Bitcoin นั้นจะไม่กลับมาสวยหรูเหมือนปลายปี 2017 แต่ในปี 2019 ก็ยังคงเป็นปีที่น่าจับตามองคริปโตเช่นกัน

ธรรมชาติของวงจรตลาดคริปโต

จริง ๆ แล้วถ้าเรากางกราฟ (บนคอมพิวเตอร์) เราจะพบว่ามันก็คือวงจรทั่วไปของตลาดคริปโตที่ผ่าน ๆ มาเหมือนเราเล่นรถไฟเหาะที่มีทั้งขาขึ้นสุดและลงสุด โดยเฉพาะตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนไม่เป็นรองใคร และถ้าคุณเข้าใจวงจรของคริปโตคุณจะสามารถมองได้ว่าราคาที่มันอยู่นั้น มันอยู่ในจุดสูงสุดหรือต่ำสุดแล้วนะ และอาจเพลิดเพลินไปกับมัน

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทฤษฎีที่สมบูรณ์แบบที่ถูกต้องแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ควรที่มองโลกในแง่ดี เพราะว่าเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของ Blockchain หรือ Cryptocurrency จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดแรงผลักดันของราคา

การตอบรับที่ดีจากผู้ดูแลกฏหมาย

ผู้ที่ชื่นชอบในตัว Bitcoin หรือคริปโตนั้นก็ยังคงเชื่อว่าคริปโตจะมาแทนที่สกุลเงินทั่วไป แต่เมื่อพวกเขาไปอธิบายให้คนอื่น ๆ ฟังนั้น พวกเขาเหล่านั้นกลับเชื่อว่า “มันเอาไปซื้อยาเสพติดและฟอกเงินเสียมากกว่า” จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้ราคามันคงที่

ช่วงปลายปี 2017 ผู้ดูแลกฏหมายหลายแห่งก็เริ่มเข้มงวดการถูกหลอกลวงจากคริปโต และหันมาดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ จนมาถึงปี  2018

การปฏิวัติด้านเงินดิจิทิทัลอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงช่วงเวลาข้ามคืน มันอาจใช้เวลาหลายทศวรรษ ถ้าการใช้คริปโตสามารถสร้างประโยชน์ให้กับรัฐและองค์กรหรือสถาบันทางการเงินต่าง ๆ ก็จะทำให้การยอมรับในตัวคริปโตมากยิ่งขึ้น

STO จะมาเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดคริปโต

ก่อนหน้านี้นั้น ถ้ากล่าวถึงการระดมทุน ICO ถือว่าเป็นอะไรที่ว้าวมากในตลาดคริปโต เพราะมันสามารถลงทุนได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเก่งเรื่องเทคโนโลยีมากก็ลงทุนได้ และสามารถสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา

แต่หลังจากปี 2018 เราก็เห็นได้ว่าราคา Bitcoin ร่วงลงมาอย่างหนักทำให้ ICO เป็นอะไรที่หลายคนเริ่มมองข้ามและทุกคนคิดว่ามันไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป จนมาถึงคราวของ STO (Security Token Offerings)

โดย STO จะทำให้ผู้ที่ถือโทเคนได้รับส่วนแบ่งของผลประกอบการของโปรเจกต์ด้วย คล้าย ๆ IPO ที่ได้หุ้น แต่ STO ได้โทเคนแทน การระดมทุนรูปแบบใหม่นี้ กำลังเป็นกระแสอยู่ในวงการคริปโตเนื่องจากมันสามารถแก้ปัญหาความปลอดภัยของนักลงทุนได้ เพราะว่า ก่อนที่โปรเจกต์ใดก็ตามอยากจะระดมทุน STO พวกเขาต้องทำผ่านกระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายซะก่อน ซึ่งจะทำให้โปรเจกต์ต้มตุ๋นหลอกลวงมีน้อยลง

ผลิตภัณฑ์ด้าน Blockchain จะออกมาให้เห็น

ช่วงปี 2017 นั้นเป็นช่วงของการระดมทุน ICO กันอย่างจริงจัง เพราะว่านักลงทุนและ Entrepreneur ทั้งหลายมองว่ามันเป็นช่องทางที่จะสามารถทำกำไรและดำเนินธุรกิจได้

หลังจากที่หลายบริษัทเริ่มระดมทุนเสร็จแล้วนั้น ก็ถึงช่วงที่นำเงินระดมทุนเหล่านั้นมาสร้างผลิตภัณฑ์ด้าน Blockchain นั่นเองซึ่งในปี 2018 ที่ผ่านมานั้นราคา Bitcoin ร่วงลงมามากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ทำให้หลายบริษัทหยุดชะงักและปิดตัวลงไปในที่สุด

แต่ในปี 2019 บริษัทที่ยังสามารดำเนินธุรกิจได้นั้น น่าจะเป็นไปได้ที่จะออกผลิตภัณฑ์ด้าน Blockchain ออกมาเพื่อให้นักลงทุนที่ลงทุนโปรเจกต์กับพวกเขานั้นได้ชื่นใจนั่นเอง

ในปี 2019 น่าเป็นที่จับตาสำหรับวงการคริปโต เพราะหลาย ๆ อย่างเช่นสถาบันทางการเงินยักษ์ใหญ่เริ่มเข้ามาลงทุนในคริปโตหรือ Blockchain และกฏหมายคริปโตในหลาย ๆ ประเทศเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น