<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

6 สิ่งที่อาจทำให้ราคาของ Ethereum พุ่งถึง 2,000 ดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

การที่ราคาของ Ehtereum จะพุ่งไปถึง 2,000 ดอลลาร์ได้นั้น มูลค่าตลาดรวมของมันจะต้องมีประมาณ 188 พันล้านดอลลาร์เสียก่อน แม้ว่ามันจะเป็นตัวเลขที่เมื่อดูแล้วอาจจะเยอะไป ซึ่งคิดเป็นราวๆ 8 เท่า แต่มันก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดีถ้าหากว่านำไปรวมกับมูลค่าตลาดของเฟสบุคที่ 492 พันล้านดอลลาร์

โดยอ้างอิงจาก Coin Telegraph นั้น พวกเขามีความเชื่อว่าราคาของเหรียญ Ethereum จะสามารถที่จะไปถึงจุดๆนี้ได้ ถ้าหากว่ามีตัวแปรสำคัญ 6 อย่างนี้เกิดขึ้น

Raiden network

ปัจจุบัน เหรียญ Ethereum มีข้อจำกัดด้านการรองรับธุรกรรมที่มีอยู่แค่ 20 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น ซึ่งมันสามารถทำได้มากกว่า Bitcoin หนึ่งเท่าตัว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรากำลังมองการณ์ไกลเพื่อที่จะให้ Ethereum นั้นถูกใช้เพื่อเป็นสกุลเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั้น แค่ 20 ธุรกรรมต่อวินาทีคงจะไม่พอ

ตัวโซลูชันสำหรับแก้ปัญหานี้มีชื่อว่า Raiden Network ซึ่งปัจจุบันนักพัฒนากำลังสร้างระบบ off-chain สำหรับระบบการจ่ายของ Ethereum ที่สามารถที่จะทำการขยายการทำธุรกรรมให้มีมากถึง 1,000,000 ธุรกรรมต่อวินาที

ยิ่งไปกว่านั้น มันจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการโอนได้อย่างมหาศาล ทำให้การทำ micro-transaction (การทำธุรกรรมยิบย่อยทั่วไป) ของ Ethereum นั้นเป็นจริงขึ้นมา

การใช้งานและการจ่าย Ether เป็นไปด้วยความง่ายขึ้น

ณ ขณะนี้ เรามีเว็บกระดานแลกเปลี่ยนราวๆ 60 เว็บทั่วโลก และตัวเลขนี้ก็กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกๆเดือนเมื่อเหรียญ ETH นั้นเริ่มเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นั้นยังไม่รู้จักแม้กระทั่ง altcoin ว่าคืออะไร ดังนั้นการที่พวกเขาจะเข้ามาซื้อเหรียญดังกล่าวนั้นคงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก

ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาแบบในด้านการทำให้ผู้คนทั่วไปเข้าถึง Ether นั้นจึงควรจะมี บริษัทนามว่า Dether กำลังสร้างระบบแพลทฟอร์มที่สามารถทำให้ใครก็ได้ที่สนใจในตัว Ethereum สามารถซื้อมันได้ด้วยเงินสด ซึ่งนั่นถือว่าพวกเขามาถูกทางแล้ว

โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ มูลค่าตลาดรวมของเหรียญคริปโตทั้งหมดอยู่ที่ 112 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือเหรียญ Ethereum และ Bitcoin นั้นมักจะไม่ใช้จ่ายเหรียญของพวกเขา เพราะพวกเขาจะใช้มันเพื่อการลงทุนเสียเป็นส่วนใหญ่

ในการที่เหรียญ ETH จะมีราคาพุ่งสูงถึง 2,000 ดอลลาร์นั้น อ้างอิงจาก Coin Telegraph พวกเขาบอกว่าผู้คนนั้นควรที่จะต้องใช้เหรียญ Ethereum เปรียบเสมือนเป็นเงินจริงในการซื้อสินค้าทั่วๆไป และร้านค้าแต่ละร้านจะต้องรับมันเป็นอีกหนึ่งช่องทางการจ่ายเงินด้วย

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

Zk-SNARKs

สมาชิกของ Ethereum Research and Development และทีมของ ZCash กำลังร่วมมือกันเพื่อวิจัยโครงการเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเทคโนโลยี Blockchain

โดยการนำเอาเทคโนโลยีของ ZCash และ Ethereum มารวมกันนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งนั่นจะสามารถทำให้ผู้ใช้งานเหรียญ Ethereum สามารถที่จะใช้จ่ายได้แบบ “ไร้ตัวตน” โดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งหากทำสำเร็จนั้น Ethereum อาจจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอีกหลายๆวงการแบบที่เรานึกไม่ถึงเลยก็เป็นได้

ตัวอย่างแอพที่เกี่ยวกับทางด้านความเป็นส่วนตัวนั้น อาจจะนำไปใช้กับการเลือกตั้งประฐานาธิบดี เมื่อเทคโนโลยี zk-SNARKs นั้นถูกติดตั้งโดยสมบูรณ์แล้ว ผลของการเลือกตั้งจะสามารถที่จะถูกตรวจสอบโดยใครก็ได้ที่อยากจะดู Blockchain แต่รายชื่อของผู้โหวตนั้นจะไม่ถูกเปิดเผย

ICO กลายเป็นอีกหนึ่งวิธีการระดมทุนที่หลายๆคนหันมาให้ความสนใจ และกฎหมายก็เริ่มมีมาควบคุมแล้ว

ณ ขณะนี้ มูลค่าตลาดรวมของการระดมทุนในบริษัทสตาร์ทอัพผ่าน ICO โดยนักลงทุนทั่วโลกนั้นมีมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เนื่องจากการลงทุนแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ตอนเปิดตัว Ethereum เมื่อปี 2015

บริษัทสตาร์ทอัพที่ถือ ICO ส่วนใหญ่นั้นใช้เทคโนโลยี Ethereum-based token ในการออกเหรียญ ดังนั้นการลงทุนแบบดังกล่าวจึงเป็นอะไรที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมากในเมื่อช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่ง ICO นั้นได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ประหยัดเวลามากที่สุด ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพส่วนใหญ่สามารถที่จะระดมทุนหลายล้านดอลลาร์ด้วยระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆ

สมาชิกของ EEA เปลี่ยนมาใช้ chain สาธารณะแทน

Enterprise Ethereum Alliance (EEA) หรือองค์กรที่ทำการเชื่อมต่อบริษัทยักษ์ใหญ่, สถาบัน และรัฐบาลเข้ากับผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Ethereum ซึ่งสมาชิกที่ถือเป็นหัวหอกขององค์กรดังกล่าวก็มี Microsoft, JP Morgan, Credit Suisse และ Intel โดยจุดประสงค์หลักของการก่อตั้ง EEA นั้นก็เพื่อช่วยบริษัทขนาดใหญ่แก้ปัญหาทางด้านการใช้ Blockchain ของ Ethereum และเหรียญ Ether

แต่กระนั้น ในปัจจุบันระบบ Blockchain ที่บริษัทใหญ่เหล่านี้ใช้ยังแบบ private chain อยู่ (บล็อกเชนแบบส่วนตัว) ซึ่งมันจะไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายของ Ethereum และไม่ได้ใช้เหรียญ Ether

กระนั้น มันก็อาจจะเหมือนๆกับคราวของยุคที่มีการใช้ Intranet เยอะๆจนภายหลังก็เปลี่ยนมาใช้ Internet กันหมด ซึ่งนั่นก็อาจจะหมายความว่าในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนมาใช้ public chain แทน private chain ก็เป็นได้

ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นละก็ นี่จะส่งผลทำให้จำนวนการทำธุรกรรมต่อวันของ Ethereum พุ่งสูงขึ้นอย่างมากแน่นอน

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

Proof of Stake (PoS)

ปัจจุบัน เหรียญ Ether ที่ถูกสร้างมานั้นมีจำนวน 93 ล้านเหรียญแล้ว นาย Vitalik Buterin หรือผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมากล่าวหลายครั้งแล้วว่าจำนวนเหรียญโดยรวมทั้งหมดจะไม่มีวันเกิน 100 ล้านดอลลาร์ ถ้าหาก PoS ถูกติดตั้งโดยสมบูรณ์แบบ

ถ้าหากว่า Ethereum เปลี่ยนไปใช้ PoS แบบเสร็จสมบูรณ์นั้น อัตราการสร้างเหรียญใหม่ของ Ethereum ก็จะร่วงลงแน่นอน นั่นหมายความว่าเหรียญใหม่จะถูกสร้างน้อยลงในทุกๆวัน รวมถึงจะทำให้เหรียญทั้งหมดนั้นลดน้อยลงอีกด้วย

รวมถึงถ้าหาก Ethereum เปลี่ยนไปใช้อัลกอริทึ่มแบบ proof of stake แล้วนั้น นักลงทุนจะสามารถใช้เหรียญ Ether ของพวกเขาเพื่อนำไปช่วยยืนยันการทำธุรกรรมของผู้อื่นบนเครือข่ายได้ด้วย โดยหลังจากยืนยันธุรกรรมเสร็จนั้นพวกเขาก็จะได้เหรียญ Ether ของพวกเขาคืนและจำนวนดอกเบี้ยเป็นการตอบแทน ซึ่งนั่นหมายความว่าเทรนด์การขุดด้วยการ์ดจอก็จะหมดไป แต่เทรนด์การแห่กันเก็บเหรียญ Ethereum นั้นก็จะเข้ามาแทน

ซึ่งนั่นจะการันตีนักลงทุนหน้าใหม่ให้กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อีกเยอะแน่นอน

แต่กระนั้น อนาคตยังไม่แน่นอน ราคาที่ 2,000 ดอลลาร์ของ Ethereum อาจจะเป็นได้แค่จินตนาการของใครบางคน ทว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้มีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งการอัพเดตและการพัฒนาในอนาคตของทีมพัฒนานั้นก็คงต้องดูกันยาวๆ

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น