<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

แบงก์ชาติมีมติปรับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% เป็น 1% แต่สิ่งนี้ส่งผลต่อตลาดคริปโตในไทยอย่างไร?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาแบงก์ชาติของไทยมีมติให้ปรับดอกเบี้ยขึ้นเพิ่มเติมอีก 0.25% หลังจากที่ปรับขึ้นล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% ในครั้งนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยล่าสุดถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1%   และมีผลทันที

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสอดรับกับนโยบายการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยทาง กนง. ก็เล็งเห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยนั้นควรจะดำเนินแบบค่อย ๆ เป็นค่อยไป โดยเน้นย้ำว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้งจะต้องสอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอนาคตด้วย

ด้านศูนย์วิจัยของกสิกรยังคงคาดการณ์ ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% ของ กนง. นั้นอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในระยะยาวนั้นหากทางฝั่ง FED ของสหรัฐฯ นั้นไม่ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงคาดว่า ค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าลงไปกว่านี้ หลังจากที่ตัวเลขของนักเที่ยวในประเทศเริ่มกลับมาเกือบเท่าเดิมก่อนมีวิกฤตโควิด-19

นอกจากนั้นในประเด็นค่าเงินบาทอ่อนค่าลงนั้น อาจจะต้องมองว่าค่าเงินทั่วโลกนั้นอ่อนค่าลงยกเว้นเพียงแต่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก จากการมีมติเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ตามคาด และ อัตราการว่างงานนั้นออกมาดีกว่าคาดการณ์ ทำให้ตอนนี้ค่าเงินดอลลาร์นั้นแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลกระทบต่อตลาดคริปโตในไทย

จากกลไกของเศรษฐกิจนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุน ต้องการลงทุนในตลาดที่มีเสี่ยงสูง และก็แน่นอนว่าตลาดคริปโตก็นับว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีเรื่องความผันผวนของราคามากอีกด้วย แต่ทั้งนี้เมื่อลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงเราก็คาดหวังว่ากำไรที่ได้กลับมานั้นจะต้องสูงและได้มาอย่างรวดเร็ว

แต่การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจทำให้นักลงทุนหลายคนมองว่าการจะลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงในช่วงตลาดขาลงเช่นนี้ อาจจะไม่คุ้มที่จะลงทุนและไม่คุ้มเวลาอีกต่อไป นั่นหมายความว่านักลงทุนอาจจะโยกย้ายเงินจากการลงทุนคริปโตกลับไปฝากเงินออมกินดอกเบี้ยกับธนาคารอย่างเช่นเดิม เพราะเมื่อสุดท้ายหาก อัตราดอกเบี้ยไม่มีการปรับลง ก็จะได้ดอกเบี้ยแน่ ๆ 1% จากเงินออม

ซึ่งการฝากเงินแบบนี้นั้น ถือมีความเสี่ยงน้อยมาก และหากดูจากเป้าหมายของ กนง. แล้วนั้นมีความเป็นไปได้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นอาจจะค่อย ๆ ทยอยขึ้นเพิ่มอีกในอนาคต

นอกจากนั้นแล้ว การลงทุนในคริปโตในช่วงเวลานี้ หลายคนอาจจะรู้สึกหวาดกลัวกับตลาดมากขึ้น หลังจากราคาที่ยังคงแดงอย่างต่อเนื่องและตลาดขาลงที่กินเวลายืดเยื้อมายาวนาน และอย่างที่รู้ว่าค่าเงินบาทนั้นอ่อนค่าเลงอย่างมากทำให้การลงทุนยากมากขึ้น และกูรูคริปโตบางท่านก็แนะนำว่าช่วงนี้ให้ถือ USDT เอาไว้จะดีกว่า

ในส่วนของราคา  USDT นั้นก็ได้พุ่งทะลุ 38 บาทไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นราคาที่สูงสุดหากนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2019 โดยปัจจุบันราคาของ USDT อยู่ที่ราคา 38.31 บาท และด้านเหรียญ Stable Coin อย่าง BUSD เองก็อยู่ในราคาที่ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก

สำหรับนักลงทุนที่ถือครอง Stablecoin อยู่นั้น นี่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงในช่วงนี้ จึงอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า หากนักลงทุนนำเหรียญ Stablecoin ที่มีอยู่ไปแลกสกุลเงินดอลลาร์ในราคาที่ถูกแทนที่จะนำเงินบาทไปแลกกับเงินดอลลาร์โดยตรง

อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจทำให้นักลงทุนเริ่มเดินหันหลังให้กับในตลาดคริปโต จนอาจทำให้เงินนั้นไปกระจุกอยู่ที่แบงก์ชาติ และการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ อาจจะส่งผลกระทบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในระยะยาว  

สุดท้ายนี้ คริปโทเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ, bbcไทย, ลงทุนแมน

ที่มารูปภาพ : ประชาชาติธุรกิจ