<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ถอดความสำเร็จ “ท็อป จิรายุส” จากเด็กไม่เอาไหนสู่ยูนิคอร์นของไทย

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ ท็อป ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ( Bitkub Capital Group Holdings Co.,Ltd.) หรือ 1 ใน 8 บริษัทที่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 

ซึ่งให้บริการทั้งการแลกเปลี่ยน Crypto ให้การปรึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแก่ธุรกิจต่าง ๆ และให้บริการด้านการศึกษา Crypto และเทคโนโลยีบล็อกเชนแก่ผู้ที่สนใจ เป็น “ยูนิคอร์น” สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้ง ๆ ที่พึ่งก่อตั้งมาได้เพียง 4 ปี

จุดเริ่มต้นของ “เด็กไม่เอาไหน”

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยูนิคอร์นที่มีเพียงไม่กี่แห่งในไทย และเป็นผู้บุกเบิกกระแส Crypto ในประเทศ แต่ชีวิตในวัยเด็กของคุณจิรายุสไม่ได้สวยงาม ด้วยความที่เกิดในครอบครัวที่ทำธุรกิจขายเสื้อผ้าส่งออก คุณจิรายุสได้กล่าวถึงชีวิตในวันเด็กของตนในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการ Turning Point ของ Spring News เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรายการที่มีการนำเสนอจุดเปลี่ยนในชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จ 

“เมื่อก่อนผมเป็นเด็กค่อนข้างจะเป็นเด็กเกเร และเป็นเด็กเล่นกีฬา เป็นเด็กเล่นกีฬาเป็นหลัก ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย พอโตขึ้นหน่อยก็เริ่มชกต่อยกับเพื่อน ก็เริ่มเกเร

มีช่วงหนึ่งที่ถือว่าหนักที่สุดสำหรับวัยเด็ก คือชกต่อยกับเพื่อนแล้วทำเพื่อนแขนหัก ถูกอาจารย์ใหญ่เรียกเข้าไป เรียกผู้ปกครองเข้าไปด้วย ตอนนั้นเกือบจะโดนไล่ออกจากโรงเรียน ตอนนั้นก็หนักมาก ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องกัดฟันส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์”

การเดินทางไปเรียนที่นิวซีแลนด์ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ไม่ดี ทำให้คุณจิรายุส ไม่อาจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ ความล้มเหลวในครั้งนี้ทำให้เขาเริ่มศึกษาอย่างหนัก และเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตของตัวเองจากการเป็นนักกีฬา กลายเป็นการเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ แทน จนได้รับเกียรตินิยมเหรียญทองและเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ได้ในที่สุด

กว่าจะมาเป็น Billionaire

หลังจากเรียนจบปริญญาโท คุณจิรายุสตัดสินใจหาประสบการณ์การทำงานที่จีน โดยทำงานเป็นวาณิชธนากรในสถาบันการเงินในเมืองเซียงไฮ้เป็นเวลา 3 เดือน และย้ายมาทำงานที่เมืองซานฟานซิสโก สหรัฐฯ เป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเริ่มสนใจในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin หลังจากอ่านบทความ Why Bitcoin Matters ของ มาร์ก แอนเดอร์สัน ซึ่งเปลี่ยนแปลงมุมของของเขาไป และมองว่า Bitcoin จะเป็นจุดเปลี่ยนของการเงินโลก แม้ในตอนนั้นคนจะยังมองว่า Bitcoin มีความเสี่ยงสูงก็ตาม

หลังจากได้ร่วมทำโปรเจกต์กับเพื่อนชาวสิงคโปร์ เขาได้พบว่าในประเทศไทย ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพในเมืองไทยเป็นจำนวนน้อย และไม่มีใครทำเกี่ยวกับ Bitcoin เลย

เขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ผ่านระบบออนไลน์ เริ่มต้นเก็บเงินด้วยตัวเอง แม้จะมีการกระทบกระทั่งกับทางบ้านบ้างหลังจากที่แบงค์ชาติออกประกาศเตือนว่า Bitcoin อาจเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่ด้วยความพยายาม ทำให้เขาสามารถขยายกิจการได้สำเร็จ จนในปัจจุบัน Bitkub มีบริษัททั้งหมด 9 บริษัท และมีพนักงานกว่า 2 พันคน ทั้งยังพยายามที่จะเป็นรากฐานทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ทั้งยังมีรายได้ถึง 1,000% ในทุกปี

แม้จะถูกมองว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก คุณจิรายุสยังคงกล่าวว่าบริษัทเขายังไมได้ประสบความสำเร็จมากนัก ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Dailynews เขาได้กล่าวว่า

“ทุกคนมองเข้ามาในบริษัท บิทคับฯ คงเห็นว่าหญ้าเป็นสีเขียว ประสบความสำเร็จมาก แต่ในความเป็นจริง บอกได้เลยว่า ไม่เลย! ยังไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จ ยังล้มเหลวอยู่ทุกวัน บิทคับ ยังผิดพลาดอยู่ทุกวัน และต้องพัฒนาอีกเยอะในหลายด้านแต่เป็น 4 ปีที่ภาคภูมิใจ ที่สร้างบริษัท เทคโนโลยี คัมปะนี ขึ้นมาได้ขนาดนี้”

บล็อกเชน เทคโนโลยีที่จะมาดิสรัปโลกการเงิน

สำหรับเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีตัวช่วยด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมโดยไม่อาศัยคนกลาง ซึ่งสามารถทำการโอนเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องแลกสกุลเงิน นอกจากนี้ ข้อมูลถูกบันทึกลงไปในระบบ จะมีการทำสำเนาข้อมูลส่งให้แก่ฐานข้อมูลทุกเครื่องในเวลาเดียวกัน ทำให้ยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล

การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีบล็อกเชน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำในการทำธุรกรรมทางการเงินขึ้นเป็นอย่างมาก จากการที่ข้อมูลทุกอย่างจะถูกกระจายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งยังยากต่อการแฮก ทำให้ตัวระบบมีความเสี่ยงต่ำ

เทคโนโลยีบล็อกเชนที่เข้ามามีส่วนในภาคการเงินนี้ จึงไม่ได้มีประโยชน์ต่อนักเทรด Crypto ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ระบบรองรับ หรือนักลงทุนและนักธุรกิจต่าง ๆ เท่านั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันด้วย การมาถึงของเทคโนโลยีบล็อกเชนจึงมีส่วนช่วยในการพัฒนาการเงินเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน จึงมีความจำเป็นที่สถาบันทางการเงินของไทยจะต้องศึกษาและพัฒนา เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พัฒนาการเงินไทยให้ก้าวหน้าและปลอดภัย เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน

อ้างอิง: