หากยังจำกันได้ดีเมื่อตอนที่ราคาของ Bitcoin แตะจุดสูงสุดที่ 5,000 ดอลลาร์เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่จะเจอเหตุการณ์การ correction เนื่องจากการออกมาประกาศแบนเว็บเทรดเหรียญคริปโตในประเทศจีน รวมถึงการออกมากล่าวโจมตี Bitcoin ของนาย Jamie Dimon
กระนั้นในขณะนี้ราคาของเหรียญดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเด้งกลับมาและวิ่งเข้าหาจุดราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง ซึ่งปัจจัยหลักๆแล้วมาจากการ hard fork ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ที่ทำให้ผู้คนต่างก็แห่กันมาถือ Bitcoin เพื่อรอรับเหรียญฟรีที่จะแยก chain ออกมาเหมือนๆกับครั้งของ Bitcoin Cash
อย่างไรก็ตาม มันมีตัวแปรบางตัวแปรที่อาจเป็นตัวช่วยผลักดันราคาให้ไปถึงจุดราคาที่นักเทรดเหรียญหลายๆคนกำลังเฝ้ารอให้กัลบมาอีกครั้ง ซึงก็คือ 5,000 ดอลลาร์นั่นเอง
การกลับมาของกระแส
มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนักที่ทางการจีนจะออกมาประกาศในลักษณะดังกล่าว และรวมถึงการโจมตีของนาย Jamie Dimon ที่ทำให้กระแสของ Bitcoin ต้องกลายเป็นด้านลบ บางทีอาจจะเป็นความกลัวของสถาบันการเงินและรวมถึงผู้ออกกฎหมายที่เกรงว่า cryptocurrency จะมา “แทนที่” พวกเขาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การออกมาพูดโจมตีนั้นก็มักจะมีมาแบบเดี๋ยวเดียวแล้วก็หายไป และกระแสของ Bitcoin นั้นก็ยังยืนหยัดอยู่ได้หลายๆต่อหลายครั้ง ดั่งที่เห็นในอดีตที่ผ่านมา แต่สิ่งที่น่าสนใจคงไม่พ้นข่าวลือที่ว่าสาเหตุการแบน Bitcoin ของรัฐบาลจีนนั้นมาจากการที่พวกเขาเตรียมจัดเลือกตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ หรือการเปลี่ยนใจของนาย Jamie Dimon ในภายหลังที่อาจจะส่งผลให้ราคานั้นพุ่งกลับขึ้นไปอีก
วิกฤติด้านการเงิน
Bitcoin นั้นเคยได้ขึ้นมาฉายแววในเวทีโลกครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนที่ตลาดหุ้นเกือบทั่วโลกต้องร่วงลงไปเกือบ 1 เปอร์เซนต์เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ
“Bitcoin นั้นเป็น safe haven ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยปัจจัยทางด้านตลาด และการที่ปัจจัยเหล่านั้นกำลังส่งผลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหรียญ cryptocurrency ก็จะเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน”
นั่นยังไม่รวมประชาชนในประเทศซิมบับเวและเวเนซุเอล่าที่กำลังหันมาหา Bitcoin เป็นที่พึ่งพิงเพื่อหนีเอาตัวรอดจากการบริหารการเงินที่ล้มเหลวของรัฐบาลของพวกเขา
การได้รับการยอมรับจาก Wall Street
สถาบันการลงทุนต่างๆใน Wall Street ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เริ่มหันมาลงทุนในตัว cryptocurrency อีกมาก ซึ่งทำให้นาย Dimon และ Jordan Belfort ต้องโดดเดี่ยว
โดยเฉพาะสถาบันนักลงทุนอย่าง Goldman Sachs ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมากล่าวว่า “กำลังคิดพิจารณาที่จะก่อตั้งทีมสำหรับเทีด Bitcoin” เนื่องจากว่าลูกค้าของพวกเขากำลังมีความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในตัวของเหรียญดังกล่าว
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
เงินฟรี
และที่สำคัญ ภายในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ จะมีการ hard fork ตัวใหม่ที่ใกล้จะมาถึง ซึ่งประกอบไปด้วย Bitcoin Gold และ SegWit2x
“ซึ่งในลักษณะนี้จะเป็นเหมือนกับการได้รับ air drop แบบฟรีๆ ซึ่งใครก็แล้วแต่ที่ถือ Bitcoin ก็จะได้รับ Bitcoin Gold ในจำนวนที่เท่ากับ Bitcoin ทุกอย่างเมื่อเครือข่ายของ Bitcoin Gold เปิดใช้งาน ซึ่งหลังจากนั้น address ของเหรียญทั้งสองนี้จะไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้อีกต่อไป”
ซึ่งภายหลังจากการ hard fork ของ Bitcoin Cash เมื่อไม่นานมานี้ที่ทำให้นักลงทุน Bitcoin ได้เหรียญ Bitcoin Cash ดังกล่าวมาแบบฟรีๆโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยนั้น ส่งผลให้พวกเขาหันมาเทขายเหรียญ altcoin และเข้ามาถือ Bitcoin กันแทน
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น