<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

[บทวิเคราะห์] เงินบาทอ่อน ดอลลาร์แข็ง ถึงเวลา Crypto? กับ ‘อาจารย์ตั๊ม’ และอาจารย์ปิง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีเรื่องเกี่ยวกับตลาดการเงินที่นักเทรดทั้งหลายพากันจับตามอง เนื่องจากเงินบาทไทยอ่อนค่าลงมาก ส่งผลให้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจช่วยให้การเพิ่มค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ชะลอตัวลงบ้าง และมีส่วนช่วยในเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อด้วย

ในวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา นักกลยุทธ์การลงทุนและกรรมการผู้จัดการจากบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) อย่างคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ หรือที่รู้จักกันในชื่ออาจารย์ปิง รวมถึงอาจารย์ตั๊ม หรือคุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการผู้จัดการจากโฉลกดอทคอม ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวผ่านรายการหนุ่ยทอล์ก

ทางอาจารย์ปิงได้ให้ความเห็นว่าการที่ กนง. มีประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไม่ได้ช่วยเรื่องการอ่อนค่าของเงินบาท

“ประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในโลกเขาขึ้นดอกเบี้ยกันอย่างน้อย 0.5% เราอยู่ในกลุ่มประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ยน้อยและก็ช้า” อาจารย์ปิงกล่าว

แม้ว่าจีนกับญี่ปุ่นจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.5% เช่นเดียวกับไทย แต่เราไม่สามารถเปรียบเทียบประเทศเหล่านั้นกับประเทศไทยได้ เพราะจีนกับญี่ปุ่นเงินมีอัตราเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 2% เขาก็สามารถเลือกที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจจะกดดอกเบี้ยต่ำได้

ในขณะที่ประเทศไทยมีเงินเฟ้อสูงถึง 7.8% ซึ่งไทยเลือกที่จะขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยเป็นภาระทางด้านการเงินให้กับ SME มากเกินไป เพราะ SME กำลังเริ่มฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

ขณะเดียวกัน กนง. ก็เลือกที่จะใช้การขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะดังกล่าว เพื่อเป็นวิธีหนึ่งในการดูดสภาพคล่องทางการเงินออก

“นี่คือทิศทางของประเทศไทย ส่วนมันจะถูกหรือจะผิด ตอนนี้ยังดูไม่ออก ต้องไปรอลุ้นคำตอบในอนาคตข้างหน้า”  อาจารย์ปิงกล่าวเสริม

อย่างไรก็ตามการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้มีผลกระทบในทันทีทันใด การทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นทีละน้อยก็เพื่อให้ธนาคารกลางสามารถดำเนินงานที่มีเสถียรภาพ โดยทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปทุกรอบการประชุม ซึ่งเหลืออีก 6 ครั้ง หมายความว่าดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงสิ้นปี 2023 อาจอยู่ที่ 3%

“ธนาคารแห่งชาติมีการปรับการคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัด จากเดิมที่ขาดดุล 8,800 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ไปเป็น 14,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าในอีก 4 เดือนข้างหน้าเราจะไม่ขาดดุลแล้ว ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรมาดึงให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้มากกว่านี้ ผมเชื่อว่าค่าเงินบาทจะวนกลับไปที่ 37 และ 36.5 ได้ภายใน 3 เดือนนี้” อาจารย์ปิงกล่าว

ขณะที่ทางฝั่งของอาจารย์ตั๊มได้ให้ความเห็นว่า “ Bitcoin ตอบสนองต่อช่วงที่เงินดอลลาร์พุ่งขึ้นได้อย่างน่าสนใจมาก คือราคาของ Bitcoin อยู่ที่ระดับราคาประมาณ 20,000 และไม่ลงไปมากกว่านี้ แสดงให้เห็นถึงแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแรงพอสมควร”

“ถึงราคากำลังเกาะตัวอยู่ ไม่ได้หลุดไปไหน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่หลุด ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะปลอดภัย” อาจารย์ตั๊มกล่าวเสริม

ทั้งนี้อาจารย์ตั๊มได้อธิบายว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการที่จะมีเงินลงทุนไหลเข้าไป ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เงินถูกดูดสภาพคล่องออกไปจากตลาด ซึ่งขณะนี้ Bitcoin ยังคงกำลังทรงตัวอยู่ที่ระดับราคาในตำแหน่งแนวรับที่สำคัญพอสมควร

อาจารย์ตั๊มยอมรับว่า ตนเองเครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับปัญหา Debt Crisis ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะดูไม่รุนแรงเท่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ววิกฤตครั้งนี้มีขอบเขตที่ใหญ่กว่ามากจนไม่เหลือพื้นที่สำหรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และปัญหาในเรื่องของหนี้สินก็จะเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่หลาย ๆ คนเคยเห็น ซึ่งสุดท้ายแล้วเราจะเห็นหน่วยงานราชการออกมาตอบโต้กับวิกฤตดังกล่าว อาจารย์ตั๊มจึงมองว่าสภาพคล่องอาจจะไม่ได้หายไปนานมากนัก

ในมุมของอาจารย์ตั๊ม เมื่อค่าเงินสหรัฐฯ แข็งขึ้น และเงินบาทอ่อนค่าลง จะส่งผลสำหรับนักลงทุน Crypto ที่ทำบัญชีเป็นเงินบาท เพราะส่วนใหญ่ตลาด Crypto จะกำหนดทุกอย่างเป็นดอลลาร์ แต่โดยส่วนตัวแล้วอาจารย์ตั๊มให้ความเห็นว่าว่าประเด็นนี้ไม่ได้มีผลอะไรมากนักในภาพรวม ส่วนของเปอร์เซ็นต์การแข็งค่าที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจนมีผลกระทบอะไร เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก

กรณีที่โลกกำลังมีปัญหาด้านสภาพคล่องเช่นนี้ สิ่งที่อาจารย์ตั๊มให้ความสำคัญมากกว่าการทำกำไร คือ “การเอาตัวรอดให้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ โดยการทำให้ตนเองมีสภาพคล่อง และอย่านำเงินไปลงเทให้กับอะไรสักอย่างจนหมด”

“จริง ๆ แล้วช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน แต่ต้องลงทุนอย่างมีสติ” อาจารย์ตั๊มกล่าวปิดท้าย

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ที่มา: beartai