<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 อันดับตัวร้ายสุดอันตราย ผู้สร้างความวายป่วงให้แก่ตลาด Crypto ในปี 2022

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นอกจากสภาวะตลาดหมีที่พัดพาความหนาวเย็นมาสู่ตลาด Crypto ตลอดทั้งปี 2022 แล้วปีนี้ยังถือเป็นปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สร้างความสั่นสะเทือนตลาดคริปโตอย่างรุนแรง จนสั่นคลอนตลาด Crypto ครั้งแล้วครั้งเล่าภายในปีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นในปีนี้ ได้มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักจนลุกลามบานปลาย จนความเสียหายลุกลามต่อเนื่องไปยังหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก หรือกลายเป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์สำคัญครั้งใหญ่ ๆ ตามมา

ดังนั้นในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจึงอยากพาทุกคนไปทบทวนกันว่า “ใคร” คือตัวการสำคัญเบื้องหลังที่สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับตลาด Crypto ในปีนี้

อันดับ 5 Alex Mashinsky ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Celsius

ถึงจะอยู่อันดับสุดท้าย แต่ความร้ายกาจของ Mashinsky ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ล่มสลายของ Celsius มีจุดสำคัญอยู่ที่การยื่นข้อเสนอผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูงที่เกินจริง แล้ว Mashinsky ก็เอาเงินที่ลูกค้าไปบริหารจัดการได้ไม่ดี รวมทั้งยังมีรายงานว่าเขาแอบเอาเงินฝากของลูกค้าไปใช้ในการปั้มราคาให้กับเหรียญ CEL อีกด้วย ดังนั้นเมื่อนำทุกอย่างมารวมเข้ากับความเสียหายจาก Stakehound และ Badgerdao Hack จึงนำไปสู่บทสรุปอย่างการยื่นล้มละลายของบริษัท

อันดับ 4 Changpeng Zhao (CZ) ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Binance

แม้ว่า CZ จะเป็นบุคคลเพียงคนเดียวในบทความนี้ที่ธุรกิจของเขาไม่ได้ล่มสลาย แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเขากลายเป็นที่โจษจันว่าเป็น “ตัวร้ายที่แท้จริงในวิกฤตการณ์ล่มสลายของ FTX” เพราะหลังจากที่เขาเทขายเหรียญ FTT จำนวนมหาศาล CZ ก็ได้กลายเป็นบุคคลที่ใคร ๆ ต่างมองว่าเขาคือ ผู้ที่เป็นคนจุดชนวนให้ Sam Bankman-Fried ต้องพบกับจุดจบของกระดานเทรดที่สร้างขึ้นมากับมือ

ก่อนหน้านี้ Binance ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการล่มสลายของ Terraform Labs อีกด้วย เพราะผู้โจมตี Terra ได้โอนเหรียญ UST ไปยัง Binance ดังนั้นเมื่อคนทั่วไปเห็นธุรกรรมการโอน UST ออกจากระบบก็จะเกิดความตื่นตระหนก และพากันเทขาย UST ตาม ๆ กันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า CZ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือไม่

อันดับ 3 Su Zhu ผู้ร่วมก่อตั้ง, CEO และ CIO ของ Three Arrows Capital (3AC)

แม้ทุกคนจะรู้กันดีว่า Three Arrows Capital (3AC) ถึงจุดจบเพราะวิกฤตการล่มสลายของ Terra (LUNA) ประกอบกับสภาวะตลาดหมี อย่างไรก็ตาม Su Zhu แห่ง 3AC ก็ถือเป็นวายร้ายคนสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ตลาด Crypto ถล่ม เพราะสิ่งที่ทำให้กองทุนมูลค่าหลายแสนล้านต้องจบสิ้นลงเกี่ยวข้องกับวีรกรรมสำคัญของ Su Zhu อย่างการสร้างหนี้ก้อนโต

ไม่ว่าจะเป็นการกู้ Stablecoin ใน Aave มูลค่า 264 ล้านดอลลาร์ กู้ใน Conpound อีก 35 ล้านดอลลาร์ และกู้ยืมจาก BlockFi อย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์ จนในท้ายที่สุด สินทรัพย์ในกองทุนก็ไม่เหลือมากพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และเป็นเหตุให้กองทุนที่ล่มสลายแห่งนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าหนี้และนักลงทุนทั่วโลก

อันดับ 2 Do Kwon ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Terraform Labs

ถือได้ว่า Do Kwon เป็นอีกหนึ่งคนที่สร้างตำนานสุดโหดให้กับตลาด Crypto โดยเหตุผลจริง ๆ ที่ทำให้ Kwon ถูกมองว่าเป็นวายร้ายอันดับรองท็อป คือ การสร้างกระแสที่ว่า “ถ้าหากนักลงทุนฝาก UST เข้าแพลตฟอร์ม จะได้รับผลตอบแทนสูงมาก ๆ กลับไป” ซึ่งคำโปรโมทนี้ทำให้หลายคนมองว่าโปรเจกต์ UST เป็นเหมือนแชร์ลูกโซ่ แต่ก็ยังมีนักลงทุนหลายรายที่หลงเชื่อ

ต่อมา เมื่อเหรียญ​ UST หลุด peg จากเงินดอลลาร์ในอัตราส่วน 1:1 ทำให้ราคาเหรียญทั้ง LUNA และ UST ร่วงลงอย่างรุนแรงจนมูลค่ากลายเป็นศูนย์ และ Terraform Labs ก็ได้พังทลายลงในเดือนพฤษภาคม จนทำให้มูลค่าตลาดเกือบ 45,000 ล้านดอลลาร์หายไปในหนึ่งสัปดาห์ และสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนอย่างมหาศาล

นอกจากนี้อีกปัจจัยที่ทำให้หลาย ๆ คนพากันเกลียด Kwon คงเป็นนิสัย “ปากแซ่บ” ของเขา เพราะเขามักพูดแขวะผู้คน หรือคุยโตโอ้อวดต่าง ๆ บนโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการขู่ว่าจะบดขยี้เหรียญ Stablecoin อย่าง DAI หรือการพูดแขวะนักวิจารณ์ไปทั่วอย่างที่เขามักทำเป็นประจำ

อันดับ 1 Sam Bankman-Fried (SBF) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ FTX

สำหรับตำแหน่งราชาแห่งวายร้ายในโลก Crypto แน่นอนว่าจะต้องตกเป็นของ SBF เพราะเขาคือ วายร้ายตัวฉกาจที่ฉกเงินของลูกค้ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งยังทำการฉ้อโกงหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการ สมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงิน การพยายามปกปิดภาระหนี้สิน การใช้อำนาจเพื่อโฆษณาหาเสียง อีกทั้งเขายังเคยวางกร่างข่มขู่ Reef Finance เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย

นอกจากนี้ เว็บเทรด FTX ก็ยังมีปัญหาภายในอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บ Private Key โดยที่ไม่มีการเข้ารหัส การปล่อยให้ Alameda Research กู้ยืมเงินจากลูกค้า FTX ได้อย่างไม่จำกัด หรือการที่เงินฝากของลูกค้า FTX ไปอยู่ปะปนกับสินทรัพย์ที่ใช้ในทางที่สุ่มเสี่ยง และเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้บริหารอย่าง SBF จะไม่เคยรับรู้?

ปิดท้ายก่อนจากกัน

แม้ว่าเรื่องราวของตัวร้ายทั้งหลายจะสร้างความเจ็บปวดอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุนทั่วโลก แต่ถ้าหากเราทุกคนในตลาดสามารถฝ่าฟันผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ เรื่องราวเหล่านี้ก็จะกลายเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์สำคัญที่เหล่านักลงทุนจะจดจำไปอีกนาน

ทั้งนี้หวังว่าทุกคนจะเรียนรู้จากความเจ็บปวด และปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์อันไม่คาดฝัน เนื่องจากการประเมินความเสี่ยงที่สามารถรับได้ และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม คือสิ่งที่นักลงทุนทุกคนพึงกระทำอยู่เสมอ

ที่มา: bitcoinaddict, thunkhaotoday, mgronline