<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘ดร.โสภณ’ กางบทสัมภาษณ์ใน นสพ. แนะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มั่นคงกว่า Bitcoin อย่าไปเชื่อกูรู

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เช้าวันนี้ (10 พฤษภาคม) ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์วิจัย-ประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ออกมาโพสต์รูปภาพบนเฟซบุ๊กแฟนเพจเป็นบทความที่ตัวเขาได้ตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันนี้ และทำการแนะนำให้เหล่าแฟนคลับ Bitcoin ให้เข้ามาอ่านบทความดังกล่าวจะได้มีความรู้เท่าทัน

ในบทความ ดร.โสภณ กล่าวว่าการเล่น Bitcoin นั้นเป็นเกมใหม่ที่เข้ากันได้กับคนหนุ่มสาวเพราะมีกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับกฎกติกาใหม่ๆ ที่อาศัยคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล มีลูกเล่นมากมายให้ดูทันสมัย ซึ่งใครไม่เล่นอาจจะดูเชย ตกยุคเลยชักจูงกันมาซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไร ไปวันๆ นั่งวิเคราะห์ราคากันไปเสมือนจะทำนายราคาได้จริง (แต่มักจะทำนายราคาผิด) แต่ในอีกแง่ Bitcoin ก็ใช่จะเหมาะสมกับคนหนุ่มสาวเพราะอาจไม่สร้างมูลค่าใด ๆ ซึ่งตรงนี้ Bitcoin ไม่มี ต่างจากอสังหาริมทรัพย์ที่จับต้องได้ และ Bitcoin นั้นเป็นแค่เงินที่ไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ใช้ประโยชน์ไม่ได้ 

ต่อมา ดร.โสภณ จึงยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ว่าในสงครามอาจมีการสู้รบและผู้ชนะสามารถขนเงินทองออกไปได้ แต่สิ่งที่ขนออกไปไม่ได้คือ “อสังหาริมทรัพย์” เห็นได้จากชาวแขกซิกข์ที่ร่ำรวยในประเทศไทยต่างสร้างอพาร์ตเมนต์เก็บไว้มากมาย

หากพิจารณาในแง่ของหุ้น ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเบื้องหลังซึ่งคือการดำเนินกิจการของวิสาหกิจนั้น ๆ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวแปรต่าง ๆ ได้ แต่สำหรับ Bitcoin นั้นใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) เป็นสำคัญเพื่อประเมินทิศทางความเป็นไปได้ของราคาในอนาคต เช่น การดูแท่งเทียน การดูแนวรับแนวต้าน การวิเคราะห์กราฟและอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์นั้นก็มีการใช้เทคนิคดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับวงการ Bitcoin เพราะตัวของมันนั้นมีความผันผวนที่สูงเกินไปในแต่ละวัน พร้อมชี้ให้เห็นว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่ง Bitcoin และราคาอสังหาริมทรัพย์ก็โตไม่ต่างกันโดยขึ้นเฉลี่ยที่ 4.49% ต่อปี 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นทำผลงานได้ดีกว่า Bitcoin เพราะในกรณีของห้องบ้านและห้องชุด หากปล่อยเช่า ก็จะได้ค่าเช่ามาปีละ 4-5% สูงกว่าการถือ Bitcoin เสียอีก

มากไปกว่านั้นหากศึกษาข้อมูลจะพบว่าผู้ถือ Bitcoin จำนวน 1% ครองส่วนแบ่งตลาดไว้ถึง 90% จึงทำให้ราคาถูกปั่นโดยผู้ถือรายใหญ่ได้มากกว่า ทำให้รายย่อยได้แต่เพียงทำการวิเคราะห์เหมือนหมอดูส่องลูกแก้ว ขณะที่พวกกูรู หรืออาจารย์ทั้งหลายที่เชิญชวนให้เข้ามาลงทุนใน Bitcoin ต่างเทขายทำกำไรไม่ได้เก็บอดออมไว้ระยะยาวเหมือนที่ชวนเชื่อเอาไว้ 

สังเกตุได้ว่านักลงทุน Bitcoin ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น “แมลงเม่า” ที่สนใจแต่ราคาโดยไม่มอง หรือ วิเคราะห์ และทำการซื้อขายตาม ๆ กันตามที่กูรูต่าง ๆ แนะนำโดยหารู้ไม่ว่าราคาที่ตนซื้อนั้นเป็นราคาติดดอย และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจะพบว่าเม่าในตลาด Bitcoin นั้นมีจำนวนที่สูงกว่ามากเพราะสามารถเข้าใดด้วยการลงทุนซื้อไม่กี่ Sats ซึ่งผู้มีรายได้น้อยก็สามารถลงทุนได้ตามคำกล่าวอ้างของพวกชักจูง

สำหรับประเด็นของการมอง Bitcoin เป็นเงิน ดร.โสภณ ระบุว่า เงินสกุลต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจ สภาพสังคมและการเมือง แต่มูลค่าของ Bitcoin ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ จึงไม่ใช่เงินแต่เป็นเพียงแค่เกมหรือการแชร์ลูกโซ่  ขณะที่หากนำ Bitcoin มาเทียบกับทองคำ ผลที่ได้คือก็ไม่ใช่ทองคำอยู่ดีเพราะดั้งเดิมนั้นทองคำถูกใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันภาวะตลาดตกต่ำมากว่า 40,000 ปีแล้ว ขณะที่ Bitcoin นั้นยังใหม่อยู่และยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเครื่องมือการลงทุน และจะเห็นได้ว่านาย Satoshi ผู้สร้างนั้นถือ Bitcoin ไว้มากกว่า 1.1 ล้าน BTC หรือ 5% ของทั้งโลก ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมากแม้แต่เหล่าผู้พิชิตต่าง ๆ อย่าง  ซีซาร์ หรือ เจงกิสข่านก็ยังไม่รวยเท่า Satoshi และในอนาคตจะมีการแบ่งชนชั้นพิระมิดขึ้นในอีกไม่นาน 

สรุปแล้วถ้ายังเป็นคนหนุ่มสาวมีกำลังทรัพย์มีเงินทุนไม่มากควรหันไปเล่นหุ้นที่มีปันผลดี หรือ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงซื้อกองทุนต่าง ๆ เพื่อรวบรวมกำไรที่ได้มาซื้อ และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะเป็นหนทางที่มั่นคงและมีอนาคตกว่า Bitcoin


ที่มา : Facebook