<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เตรียมตัวให้พร้อมสู่ยุค Stablecoin อะไรคือสิ่งที่ควรรู้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Algorithmic Stablecoin ที่ล่มไปเมื่อเดือนพฤษาคมจะทำให้คนหมดใจกับ Stablecoin หรือไม่ หรือมันจะมีบทบาทที่สำคัญในโลกคริปโตที่มี Cryptocurrency ที่ตรึงค่าไว้กับเงิน Fiat

Stablecoin เป็นเหรียญที่น่าเบื่อในโลกคริปโต มันมีความปลอดภัย มีความแน่นอน แต่ก็จืดชืด พวกมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ Satoshi Nakamoto คิดไว้ แต่พวกมันจะเป็นหลุมหลบภัยคสามวุ่นวายของโลกคริปโต

ด้วยค่าที่ผูกไว้กับสกุลเงิน Fiat ทำให้ Stablecoin มีวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมือนคริปโตตัวอื่นที่หลายคนมองว่าคริปโตเหล่านั้นจะช่วยให้รวยด้วยความรวดเร็ว แต่ Stablecoin มีบทบาทที่สำคัญใน Ecosystem ของโลกคริปโต มันเป็นหลุมหลบภัยโดยที่เราไม่จำเป็นต้องถอนเป็นเงินสดออกมา และมีการกำหนดมูลค่าให้เท่ากับเงิน Fiat สกุลต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคมแสดงให้เห็นว่าความ Stable ของมันยังเข้าใจยาก และเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้เข้ามาสนใจมันนัก ทำให้ LUNA ซึ่งเป็นเหรียญของโปรเจ็ค Terra ที่ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Luna Classic หรือ LUNC ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ และได้กวาดทรัพย์สินของนักลงทุนไปถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้มีข้อสรุปของเหตุการณ์นั้นว่ามันเกิดจากการทำงานของ Stablecoin ที่ผิดพลาด แต่ผมคิดว่าเหตุการณ์การล่มสลายของโปรเจ็ค Terra นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ Stablecoin จะกลายเป็นส่วนประกอบที่เป็นที่ยอมรับและเป็นประโยชน์ของระบบเศรษฐกิจโลก และตอนนี้ก็เริ่มมีข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อเข้ามาดูแล Stablecoin

ไม่ใช่ Stablecoin ทั้งหมดจะเหมือนกัน

การล้มเหลวของ Stablecoin 2-3 ตัว ไม่ได้ทำให้แนวคิด Stablecoin หายไป เหรียญ Stablecoin ตัวอื่น ๆ ถูกสร้างบนพื้นฐานที่มั่นคงและยังทำงานได้ปกติ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือการล้มโปรเจ็ค Algorithmic Stablecoin เพราะเหรียญเหล่านี้เป็นเหรียญที่ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เพราะมันสร้างอยู่บนรากฐานที่ไม่ปลอดภัย และมีนักวิจารณ์อยู่เสมอ บางคนเรียกโปรเจ็ค Terra ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ และบอกว่า Algorithmic ตัวอื่น ๆ ก็จะเข้าข่ายเหมือนกันถ้ามีคนซื้อมันมากขึ้น

Algorithmic Stablecoin นั้นไม่มีการควบคุมและไม่มีการหนุนจากจำนวนเงินที่เทียบเท่าสกุลเงิน Fiat แต่เหรียญพวกนั้นได้ปรับใช้ Smart Contract เพื่อสร้างและทำลายเหรียญที่มีอยู่เพื่อปรับราคา เป็นระบบที่ทำงานโดยอาศัยการดึงดูดนักลงทุนโดยการให้ผลตอบแทนที่สูงมากผ่านทางโปรโตคอล Archor และก็มีคนเชื่อกลไกนี้มากพอสมควร แต่เมื่อความเชื่อใจเริ่มหมดไปในต้นเดือนพฤษาคม ประตูระบายนี้ก็เริ่มเปิดออกและเกิดเหตุการณ์ Bank run เหมือนกับธนาคารในยุคเก่า

แต่ก็มีเหรียญ Stablecoin อีกหลายประเภทที่หนุนด้วยสินทรัพย์รวมไปถึงสกุลเงิน Fiat ตัวอย่างเช่น Tether หรือ USDT ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุด ได้เปิดเผยสินทรัพย์ที่สำรองไว้ ทำให้มูลค่าของ Tether ยังเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการเริ่มเพียงเล็กน้อยในวันที่ 12 พฤษาคม โดยได้ลดลงมาเหลือ 0.97 ดอลลาร์

นาย Jeremy Allaire ซีอีโอของบริษัท Circle ได้ทวีตลง Twitter ของเขาว่า USDCoin หรือ USDC ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ได้รับการหนุนด้วยสินทรัพย์ที่แตกต่างกับ Algorithmic Stablecoin

โดยทาง USDC ได้หนุนด้วยสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเทียบเท่าในสกุลเงินดอลลาร์ และอยู่ในการดูแลของสถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐฯ

หน่วยงานกำกับดูแลตอบสนองช้า

หน่วยงานกำกับดูแลกำลังเร่งโฟกัสไปที่เหรียญ Stablecoin ก่อนที่โปรเจ็ค Terra จะล่มสลาย แม้ว่าจะช้าไปเล็กน้อยจากสิ้งที่เกิดขึ้น และในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารของเขาให้รับผิดชอบในการรับรองการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลในวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งเป็นการอนุมัติที่คาดไม่คิดในโลกคริปโต

ในช่วงต้นเดือนเมษายน สหราชอาณาจักรได้ประกาศความตั้งใจที่จะควบคุม Stablecoin และในเดือนเดียวกัน สมาชิกชั้นนำของคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา วุฒิสมาชิกนาย Patrick Toomey ได้เสนอ “Stablecoin Transparency of Reserves and Uniform Safe Transactions Act of 2022” ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า Stablecoin TRUST Act ซึ่งกล่าวถึงการดูแล Cryptocurrency ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐหรือสินทรัพย์อื่น ๆ 

ในการสัมภาษณ์กับ Financial Times ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ขณะที่ Terra กำลังร่วงอย่างช้า ๆ วุฒิสมาชิกนาย Patrick Toomey ได้เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาควบคุม Stablecoin มากขึ้น “ก่อนที่สิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น” อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ 

ตั้งแต่นั้นมาสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เมื่อ Terra กำลังค่อย ๆ ลดลงตั้งแต่วันที่ 5 พฤษาคม หน่วยงานกำกับดูแลก็ยกระดับความระมัดระวังอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 9 พฤษภาคม ทางธนาคารกลางสหรัฐได้กล่าวว่า Stablecoin นั้น “ มีความเสี่ยงที่จะทำงานผิดพลาด” และขาดความโปร่งใสในสินทรัพย์ของพวกเขา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ นาง Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้บอกว่าเราควรหันมาดูแลมันอย่างยิ่ง และควรออกกฏหมายโดยเร็วที่สุดในปีนี้

หน่วยงานกำกับดูแลโฟกัสผิดจุด

แม้จะมีคำเตือนออกมา แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะขาดหายไปคือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Algorithmic Stablecoin และ Stablecoin ที่หนุนโดยสินทรัพย์ ในความคิดของผม Stablecoin ที่หนุนด้วยเงิน Fiat ควรได้รับการควบคุมโดยรัฐบาล และมีกฎเกณฑ์เรื่องเงินทุนสำรองและข้อจำกัดต่าง ๆ

หากยังมี Algorithmic Stablecoin เหลือรอดอยู่ มันควรมีคำเตือนเกี่ยวกับเสี่ยงที่ผู้ใช้งานจะต้องเผชิญ โดย Algorithmic Stablecoin เป็นนวัตกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน แต่ทางหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่มีความพร้อมที่จะดูแลมัน ความเป็น Decentralized อย่างสมบูรณ์ของมันทำให้ผู้ใช้จำเป็นต้องปกป้องและดูแลทรัพย์สินของตนเองอย่างใกล้ชิด

การมีอยู่ของเหรียญที่หนุนด้วยเงินดอลลาร์ทั้งหมด เช่น USDC จะทำให้การพัฒนาสกุลเงินดิจิลทัลของธนาคารกลางสหรัฐหรือ Digital Dollar นั้นไม่มีความจำเป็น

ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ

ในขณะที่เขียน เราผ่านเหตุการณ์การล่มสลายของโปรเจ็ค Terra มาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และตอนนี้ตลาดคริปโตยังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง

นักวิจารณ์หลายคนต่างยินดีในความโศกเศร้าในโลกคริปโต ทำให้เกิดความสงสัยที่ว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรกับโปรเจ็คที่ Satoshi Nakamoto เป็นคนสร้าง

ในความคิดของผม ในแง่ของความมั่นคงมันตรงกับสำนวน ‘ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ’ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าเหรียญ Stablecoin ทั้งหมดไม่ได้เหมือนกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดใน Algorithmic Stablecoin คือมันจะมีหายนะที่รอที่จะเกิดขึ้น แต่ใน Stablecoin ที่หนุนด้วยสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่ประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น มองว่าเป็นสิ่งที่จะมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจแบบ Hybrid Crypto-Fiat ในอนาคต เวลาของพวกมันมาถึงแล้ว!

Source : Cointelegraph