<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

หรือกำลังขุดที่เพิ่มขึ้นในเครือข่าย Bitcoin ทำให้มันหมดความน่าเชื่อถือและถูกใช้งานลดลง ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สำหรับวงการคริปโต ประเด็นของการขุด Bitcoin นั้นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้คนพูดถึงกันมากที่สุด เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนที่ผู้คนนิยมที่สุดในวงการคริปโต และเป็นหนึ่งในกลไกที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคริปโตให้ยังคงอยู่ได้

โดยบทความนี้จะพูดถึงประเด็น ผลกระทบของกำลังขุด หรือ Hashrate ที่เพิ่มขึ้นภายในเครือข่ายของ Bitcoin ว่าส่งผลอย่างไรกับอุตสาหกรรมคริปโต

หากอ้างอิงจากข้อมูล ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กำลังขุดในเครือข่ายของ Bitcoin เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ทำให้ส่งผลกระทบต่อ ๆ ไปยังเรื่องอื่น ๆ

ค่า Difficulty ที่เพิ่มขึ้น

เป็นที่รู้กันดีสำหรับนักขุด Bitcoin เมื่อมีกำลังขุดในเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น จะมีค่า Difficulty ที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยค่าดังกล่าวเป็นกลไกของ Bitcoin ที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันกำลังขุดที่มากเกินไป โดยจะปรับตามความเป็นจริงเพื่อรักษาสมดุลของเครือข่ายไว้

เมื่อค่า Difficulty เพิ่มสูงขึ้น Bitcoin จะถูกขุดขึ้นมายากขึ้น กล่าวคือ ด้วยเครื่องขุดที่มีกำลังขุดเท่าเดิม จะสามารถขุด Bitcoin ได้ปริมาณที่น้อยลง หากมี Difficulty ที่เพิ่มขึ้น

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

สถานการณ์ที่ตึงเครียด

เมื่อ Bitcoin ถูกขุดได้น้อยลง ผลตอบแทนที่นักขุดได้ก็น้อยลงตาม นอกเหนือจากผลตอบแทนที่ลดลงอยู่แล้ว ราคา Bitcion ในปัจจุบันนั้นยังคงลดลงจากต้นปีกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นักขุดได้ผลตอบแทนน้อยลงไปอีกต่อหนึ่ง

เมื่อเหล่านักขุดได้ผลตอบแทนที่น้อยลง ระยะเวลาในการคืนทุนก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลาย ๆ คนอาจเริ่มถอดใจในการลงทุนนี้ และตัดใจขายเครื่องขุด รวมถึง Bitcoin ของพวกเขาเพื่อรักษาทุนในที่สุด ซึ่งจะยิ่งส่งผลต่อราคา Bitcoin ให้ต่ำลงไปอีก

เข้าสู่ความ Centralized

เมื่อนักขุดรายย่อยที่มีทุนไม่หนานักไม่สามารถสู้ไหว พวกเขาจะทยอยล้มเลิกกันไปทำให้เหลือเพียงแต่เจ้าใหญ่ ๆ หรือผู้ที่มีทุนหนาเท่านั้นที่อยู่รอด และจะกลายเป็นว่าพวกเขามีอัตราส่วนของกำลังขุดในเครือข่าย Bitcoin มากขึ้นไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีกำลังขุดเท่าเดิม

เมื่อเหลือเพียงเหมืองใหญ่ ๆ ที่ขุดอยู่ และมีอัตราส่วนของกำลังขุดที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้การผูกขาดภายในระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะขัดแย้งกับจุดประสงค์ของ Bitcoin ที่ออกแบบมาเพื่อ Decentralized

นอกจากนี้ การที่เหมืองใหญ่ ๆ เช่น Bitmain ที่ถูกรายงานว่า พวกเขามีกำลังขุดเกือบ 51 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่าย โดย Bitmain เป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องขุด Bitcoin อันดับ 1 ในวงการคริปโต ซึ่งแปลว่าพวกเขาสามารถผลิตเครื่องขุด Bitcoin ได้ในราคาที่ต่ำกว่าคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขามี Economy of Scale กล่าวโดยง่ายคือ ยิ่งเขาผลิตเยอะ ก็มีต้นทุนที่ต่ำลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบมากขึ้น นั่นเอง

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

และเมื่อกำลังขุดถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เครือข่าย Bitcoin จะได้รับความเชื่อใจน้อยลง เพราะว่ากลุ่มนั้นมีโอกาสที่จะทำ 51 % Attack เมื่อใดก็ได้ ซึ่งจะสามารถทำการ Double Spending ได้

สรุป

ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คิดว่าเรื่องเล็ก ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของ Hashrate ในเครือข่าย Bitcoin จะส่งผลกระทบต่อไปหลากหลายทอดมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ค่า Difficulty เพิ่มขึ้น ไล่ไปจนถึงการส่งผลให้ Bitcoin มีความเป็น Centralized มากขึ้น และทำให้ผู้คนไม่เชื่อถือใน Bitcoin ซึ่งระบบการขุดของ Bitcoin ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการ Centralized นักพัฒนาจำเป็นต้องเสนอทางเลือกอื่นมาในอนาคตเพื่อรักษาจุดประสงค์เดิมของ Bitcoin ไว้ แต่ก็ต้องสามารถแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญได้ในขณะเดียวกัน

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น