<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นักเทรดหุ้นวัย 24 ปี เผยทำเงินได้มากกว่า 8 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 ปี ด้วยอินดิเคเตอร์ 4 ตัว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Jack Kellogg เริ่มเทรดหุ้นตั้งแต่เรียนมัธยมปลายในปี 2017 และเขาก็ได้ก้าวข้ามผ่านความโหดร้ายของตลาดมาอย่างโชกโชนหลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี โดยในช่วงเวลานั้นได้รวมถึงการพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2020 ต่อด้วยตลาดกระทิงที่พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งในปี 2021 จนกระทั่งตลาดหมีในปี 2022 ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จาก cycle ทั้งหมดที่ผ่านมานี้ คือ การทำให้สิ่งต่าง ๆ “เรียบง่าย” แต่ยังคงมี “ความยืดหยุ่น”

“ทำให้มันง่าย ๆ แบบโง่ ๆ ผมไม่คิดว่าผู้คนต้องการ indicator ที่หรูหราเพื่อทำเงิน ผมแค่ใช้เส้น trend line แบบพื้น ๆ เพื่อดูแนวรับ แนวต้าน Volume และทั้งหมดนี้ก็คือ indicator ของผม” Kellogg กล่าว

“ผมคิดว่าถ้าคุณใช้ indicator ซับซ้อนมากเกินไป มันจะทำให้การเทรดของคุณหยุดชะงัก เพราะคุณจะโฟกัสที่ indicator มากกว่าราคาจริง ๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่” Kellogg กล่าวเสริม

ทัศนคตินี้ทำให้เขากลายเป็นนักเทรดที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งช่วยให้เขาสามารถเทรดต่อไปได้ตลอดทั้งปี 2022 ในช่วงตลาดหมี ทั้งนี้ข้อมูลภาษีที่เปิดเผยโดย Insider แสดงให้เห็นว่า Kellogg ได้กำไรจากการเทรดในปี 2020 และ 2021 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8 ล้านดอลลาร์

Kellogg เริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง 7,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 257,572 บาท) อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่เส้นทางความสำเร็จของเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

Kellogg เริ่มทดสอบทักษะของเขาผ่านการเทรดบนกระดาษ แล้วหลังจากนั้นเขาก็สมัครคอร์สออนไลน์โดยได้รับการสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายจากพ่อแม่ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมที่สร้างขึ้นโดย Timothy Sykes ครูสอนเทรดและอดีตนักเทรดหุ้นเพนนี

เมื่อตลาดหุ้นเริ่มพุ่งทะยานขึ้นในปี 2020 Kellogg ก็ออกเดินทางไปพร้อมกับตลาดขาขึ้น แล้วต่อมาเมื่อตลาดชะลอตัวในปี 2022 เขาก็ยังคงสร้างกำไรได้โดยการ betting หุ้นยอดนิยมอย่าง Bed Bath and Beyond (BBBY) และ AMC (AMC) ซึ่งหุ้นตัวหลังนี้ทำให้เขาได้รับเงินกว่า 60,000 ดอลลาร์

ขณะเดียวกัน Kellogg ยังเทรดหุ้นขนาดเล็กอีกสองสามตัวบนบัญชีเทรดหลักทรัพย์ และได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในการเทรด Intelligent Living Application Group Inc. (ILAG) ซึ่งทำให้เขาได้รับมากกว่า 91,000 ดอลลาร์

4 Indicator ของ Jack Kellogg

The Volume-Weighted Average Price (VWAP)

indicator ตัวแรกที่ Kellogg ใช้ คือ The Volume-Weighted Average Price (VWAP) ซึ่งเป็น indicator ที่แสดงราคาเฉลี่ย โดยใช้ราคาจริงของสินทรัพย์มาคำนวณกับปริมาณการซื้อขาย (Volume) โดย Kellogg ใช้มันในกราฟรายวันเพื่อเป็นแนวทางในการหาจุดเข้าซื้อที่ดีที่สุดสำหรับหุ้นของเขา 

“ถ้าเป้าหมายคือ “buy low and sell high” คุณต้องไม่จ่ายมากกว่าราคาโดยเฉลี่ยที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จ่าย” Kellogg กล่าว ดังนั้นเขาจะไม่เปิด position ถ้าหากราคายังคงอยู่เหนือเส้น VWAP และในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาต่ำกว่าเส้น VWAP เขาก็จะไม่ short หุ้น

นอกจากนี้ เขายังใช้ indicator ดังกล่าวเพื่อกำหนดว่า “ควรปิด position เมื่อไร” เพราะบางครั้งเส้น VWAP ก็สามารถระบุได้ว่าราคาหุ้นจะเริ่มลดลงเมื่อไรอีกด้วย ในทางกลับกัน บางครั้งเขาจะใช้ VWAP เพื่อกำหนดราคาที่จะเป็นตัว cover position ของเขา ดังนั้นถ้าหากเขา short หุ้นที่ราคา 9 ดอลลาร์ ขณะที่เส้น VWAP อยู่ที่ 7.50 ดอลลาร์ เขาก็จะใช้ราคานั้นเป็นจุดล็อกกำไร

Linear regression

Linear regression เป็น indicator ที่แสดงแนวโน้มของราคา และค้นหาช่วงเวลาที่ราคาอาจเปลี่ยนทิศ ซึ่ง indicator นี้จะมีอยู่ทั้งหมดสามเส้นด้วยกัน โดยเส้นล่างและเส้นบนคือ ช่วงการเคลื่อนไหวของราคาหรือความผันผวน ในขณะที่เส้นตรงกลางแสดงถึงค่าเฉลี่ยระหว่างทั้งสอง ทั้งนี้ถ้าหากราคามีการเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นบนสุด ก็จะแสดงถึงสัญญาณ overbought และถ้าราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นล่างสุด ก็จะหมายถึงสัญญาณ oversold

Volume

Volume คือ indicator ที่แสดงจำนวนหุ้นที่มีการเทรด ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดย Kellogg มักจะใช้ Volume เพื่อเป็นตัวบ่งชี้ว่าหุ้นจะกลับตัวเมื่อไร

“ถ้าหาก Volume เทรดพุ่งสูงขึ้นในช่วงใกล้จุดสูงสุดของวัน ก็เป็นไปได้ว่าผู้คนจำนวนมากกำลังซื้อหุ้น และมีอีกหลายคนที่กำลังทำตาม ดังนั้นผมจึงรู้ทันทีว่าอาจมีคนจำนวนมากที่เข้าผิดฝั่ง” เคลล็อกก์กล่าว

Support and Resistance lines

เทคนิคสุดท้ายของ Kellogg คือ การจับตาดูเส้นแนวรับและแนวต้าน ซึ่งเส้นแนวรับคือจุดที่ราคามีแนวโน้มจะทรงตัว และเส้นแนวต้านคือ จุดที่มีแนวโน้มจะเกิดการขาย โดย Kellogg พยายามค้นหา key level โดยมองหา Volume ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันในพื้นที่เหล่านั้น

นอกจากนี้ Kellogg ยังคอยสังเกตด้วยว่า ระดับราคาของสินทรัพย์ที่เขาถืออยู่จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าใด เพื่อกำหนดว่าราคาที่จุดนั้นมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน

“แม้ว่าจะไม่ค่อยแน่นอน แต่ช่วงที่ราคาขยับขึ้นเป็นเวลา 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงนั้น คือจุดที่แข็งแกร่งที่สุด” Kellogg อธิบาย นอกจากนี้เขายังยืนยันถึงแนวทางการเทรดของตนเองอีกครั้งด้วยว่า 

“ผมไม่เคยยึดการตัดสินใจทั้งหมดของผมจาก indicator ดังนั้นผมจึงไม่เคยกล่าวโทษ indicator ในตอนที่ผมขาดทุนเลยสักครั้ง เพราะผมไม่ปล่อยให้มันไปถึงจุดนั้น ถ้า price action ร่วงลงต่อเนื่อง ผมก็จะ cut loss หรือถ้า price action ขึ้นไปต่อ ผมก็จะ cover short position ของผม”

ที่มา: businessinsider